โดนสอยในซีเรีย บินรบรัสเซียตก

EyWwB5WU57MYnKOuYBmauqlE4X27yYnoFXreCrqKQLwgm09L8UwZun

นักบินตาย1หาย1-ฝรั่งเศสถล่มไอเอส

นับวันโลกยิ่งระอุ ล่าสุดเครื่องบินรบรัสเซีย “ซู-24” ถูกสอยร่วง ขณะปฏิบัติถล่มไอเอสในซีเรีย แต่ตุรกีอ้างเป็นฝ่ายยิงตก เหตุบินรุกล้ำน่านฟ้า หลังเตือนหลายรอบแล้วไม่ฟัง โดยยังไม่รู้ชะตากรรมแน่ชัดของสองนักบิน ขณะที่เบลเยียมคงตรึงมาตรการเตือนภัยก่อการร้ายขั้นสูงสุดในกรุงบรัสเซลส์ หลังคว้าน้ำเหลวในการไล่ล่าผู้ต้องสงสัยก่อเหตุวินาศกรรมกรุงปารีส ส่วนอเมริกาออกประกาศเตือนภัยการเดินทางทั่วโลก แนะชาวอเมริกันระมัดระวังตัว

ในขณะที่โลกยังต้องเผชิญภัยก่อการร้าย โดยเฉพาะจากกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) และเครือข่ายที่ก่อเหตุสะเทือนโลกโจมตีกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 130 คน บาดเจ็บอีกจำนวนมาก ทำให้ฝรั่งเศสตัดสินใจร่วมปฏิบัติการถล่มฐานที่มั่นไอเอสในซีเรียและอิรัก ที่มีรัสเซียเป็นหัวหอกอยู่ในขณะนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานในช่วงเย็นวันที่ 24 พ.ย. ว่า เกิดเหตุเครื่องบินรบของรัสเซียถูกยิงตกในบริเวณชายแดนตุรกี-ซีเรีย ซึ่งต่อมากระทรวงกลาโหมของรัสเซียแถลงยืนยันว่าเครื่องบินรบรุ่น ซู-24 ของรัสเซียถูกยิงตกในดินแดนของซีเรีย โดยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน แต่นักบินทั้งสองคนดีดตัวออกจากเครื่องได้ก่อน แต่ยังติดต่อไม่ได้ กระนั้นกองทัพตุรกีกลับระบุว่าเครื่องบินรบรุ่นเอฟ-16 ของตุรกี เป็นฝ่ายยิงเครื่องบินรบรัสเซียตก หลังได้แจ้งเตือนนักบินบนเครื่องบินซู-24 ไปหลายรอบว่ากำลังบินละเมิดน่านฟ้าตุรกี แต่ไม่เชื่อฟัง ส่วนชะตากรรมนักบินชาวรัสเซีย เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตุรกีระบุว่าคนหนึ่งอยู่ในการควบคุมของกองกำลังชาวเติร์กในซีเรีย และอีก 1 คนอยู่ระหว่างการค้นหา ขณะที่ภาพข่าววีดิโอเผยให้เห็นเครื่องบินเกิดไฟลุกท่วมก่อนพุ่งตกในเขตหุบเขาเมืองลาตาเกีย เขตครอบครองของฝ่ายกบฏต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรีย ซึ่งกำลังถูกรัสเซียโจมตีทางอากาศถล่มอย่างหนัก

ต่อมาในช่วงค่ำ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้ากรณีเครื่องบินรบของรัสเซียถูกยิงตกในซีเรียว่า แหล่งข่าวกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรียและนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านของซีเรีย อ้างว่าเหตุเครื่องบินรบซู-24 ของรัสเซียที่ถูกตุรกียิงตกในเขตทางเหนือซีเรียนั้น พบว่านักบินคนหนึ่งเสียชีวิต ส่วนอีกคนยังสูญหาย โดยยังมีคนโพสต์คลิปวีดิโอหลายคลิปบนสื่อสังคมออนไลน์ของกลุ่มกบฏซีเรีย เป็นภาพนักบินนอนเสียชีวิตบนพื้นในสถานที่แห่งหนึ่งและถูกรายล้อมด้วยกลุ่มกบฏ แต่ยังไม่สามารถพิสูจน์ชัดได้ว่าเป็นเหตุการณ์จริงหรือไม่

ขณะที่ตุรกีได้เรียกอุปทูตของรัสเซียเข้ามาพบเพื่อประท้วงเหตุเครื่องบินรบรัสเซียบินล่วงล้ำน่านฟ้าบริเวณพรมแดนติดซีเรีย แม้ฝ่ายรัสเซียจะปฏิเสธแล้วว่าไม่ได้บินล้ำน่านฟ้า ส่วนทูตสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เตรียมประชุมด่วนสมัยวิสามัญในวันเดียวกันตามคำร้องขอของตุรกีเพื่อหารือประเด็นร้อนดังกล่าว ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯกล่าวสั้นๆว่ากองกำลังสหรัฐฯไม่เกี่ยวข้องกับเหตุตุรกียิงเครื่องบินรบรัสเซียตก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้ากรณีเครื่องบินรบรัสเซียถูกตุรกียิงตกว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย แถลงระหว่างการพบปะเจรจากับกษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 แห่งจอร์แดนในกรุงมอสโกว่า การที่ตุรกียิงเครื่องบินรบของรัสเซียตก เป็นการ “แทงข้างหลัง” ของ “ผู้สมรู้ร่วมคิดกับผู้ก่อการร้าย” และจะส่งผลกระทบต่อเนื่องอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับตุรกี ทั้งนี้ นายปูตินยังระบุว่าเครื่องบินรบรัสเซียอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนซีเรีย 1 กม. ขณะถูกยิงตก ไม่ได้รุกล้ำน่านฟ้าดังที่ตุรกีกล่าวอ้าง

ส่วนประธานาธิบดีเรเซป ทายยิป เออร์โดกัน แห่งตุรกี จัดประชุมด้านความมั่นคงฉุกเฉินร่วมกับนายกรัฐมนตรีอาห์เหม็ด ดาวูโตกลู รวมทั้งผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพและคณะรัฐมนตรี เพื่อหารือเรื่องนี้ ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวอ้างการให้สัมภาษณ์สื่อของอัลปาสลาน เซลิค รองผู้บัญชาการกองพลน้อยของชาวเติร์กในซีเรียว่า ทหารของตนได้ยิงนักบินรัสเซียทั้ง 2 คนเสียชีวิตกลางอากาศขณะโดดร่มออกมาจากเครื่องบินที่ถูกยิงตก พร้อมทั้งแสดงร่มของนักบินรัสเซียทั้งคู่ ขณะที่นายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานสหภาพยุโรป (อียู) ได้ออกมาแถลงเตือนว่า ในช่วงเวลาอันตรายหลังตุรกียิงเครื่องบินรัสเซียตก ขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆและอยู่ในความสงบ

วันเดียวกัน ฝรั่งเศสเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มกลุ่มไอเอสครั้งแรก โดยเครื่องบินรบทะยานขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบินชาร์ลส เดอ โกล ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกและมีรายงานว่ามีการยิงระเบิดถล่มเป้าหมายในอิรักและซีเรียหลายจุด รวมทั้งเมืองรักคา ฐานที่มั่นกลุ่มไอเอสในซีเรีย แต่ยังไม่มีรายงานความคืบหน้าใดๆ

ส่วนความคืบหน้าการสอบสวนและตามล่าตัวคนร้ายที่ยังหลบหนีหลังเกิดเหตุวินาศกรรมโจมตีกรุงปารีสหลายจุดตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยปฏิบัติการตรวจค้นไล่ล่านายซาลาห์ อับเดสลาม ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ ยังเป็นไปอย่างเข้มข้นทั้งที่ฝรั่งเศสและเบลเยียม ซึ่งสำนักข่าวต่างประเทศเอพี เอเอฟพี รอยเตอร์และสำนักข่าวบีบีซี รายงานเมื่อ วันที่ 24 พ.ย.ว่า รัฐบาลเบลเยียมยังคงมาตรการเตือนภัยก่อการร้ายขั้นสูงสุดหรือระดับ 4 ในกรุงบรัสเซลส์ไว้ต่อไป หลังบังคับใช้มาแล้ว 3 วัน และคาดว่าจะคงมาตรการนี้ไว้อีกอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ เพราะยังมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกโจมตี แต่โรงเรียนและรถไฟใต้ดินในกรุงบรัสเซลส์จะกลับมาเปิดให้บริการได้ในวันพุธที่ 25 พ.ย.นี้ ขณะที่พื้นที่ส่วนอื่นๆของประเทศได้คงมาตรการเตือนภัยไว้ที่ระดับ 3 หมายถึงมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะถูกโจมตี เนื่องจากผู้ต้องสงสัยคนสำคัญอย่างนายซาลาห์ อับเดสลาม วัย 26 ปี ชาวฝรั่งเศสที่เกิดในเบลเยียม ผู้ร่วมก่อเหตุโจมตีก่อนหนีมากบดานในกรุงบรัสเซลส์ ยังหนีรอดจากปฏิบัติการบุกตรวจค้นตามล่าตัวไปได้ โดย นายซาลาห์ เป็นน้องชายของนายบราฮิม มือระเบิดฆ่าตัวตายที่เสียชีวิตในการก่อเหตุที่กรุงปารีสด้วย

นอกจากนี้ ทางการเบลเยียมยังตั้งข้อหาผู้ต้องสงสัยเป็นรายที่ 4 ว่าอาจมีส่วนรู้เห็นในการโจมตีกรุงปารีส โดยผู้ต้องสงสัยเป็นชาย 1 ใน 21 คนที่ถูกควบคุมตัวมาสอบสวนในปฏิบัติการบุกตรวจค้นหลายจุดทั่วกรุงบรัสเซลส์เมื่อวันที่ 22 และ 23 พ.ย. ส่วนผู้ถูกตั้งข้อหาอีก 3 คน คือนายโมฮัมเหม็ด อัมรี วัย 27 ปี นายฮัมซา อัตทู วัย 20 ปี และชายอีก 1 คน ไม่ระบุชื่อ แต่ทั้ง 3 คนถูกตั้งข้อหาให้การช่วยเหลือนายซาลาห์ ส่วนที่เหลือ 17 คนได้รับการปล่อยตัวแล้ว

ส่วนที่ฝรั่งเศสก็เกิดเหตุระทึก เมื่อพนักงานทำความสะอาดพบเสื้อกั๊กติดระเบิดถูกทิ้งในถังขยะในเขตทางใต้กรุงปารีส เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งแหล่งข่าวที่เป็นตำรวจระบุว่า เสื้อกั๊กติดระเบิดที่พบ ไม่มีอุปกรณ์ตัวกดชนวนระเบิดอยู่ด้วย และมีลักษณะคล้ายกับที่กลุ่มคนร้ายใช้ก่อเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา

ข่าวระบุว่า เสื้อกั๊กติดระเบิดที่พบในถังขยะถือเป็น 1 ใน 2 หลักฐานชิ้นสำคัญที่พบว่าเชื่อมโยงกับนายซาลาห์ จากที่ก่อนหน้านี้พบโทรศัพท์มือถือในรถยนต์ที่นายซาลาห์เช่ามาก่อเหตุ ซึ่งข้อมูลในมือถือบ่งชี้ว่าคืนเกิดเหตุ นายซาลาห์อยู่ในพื้นที่ที่เพิ่งพบเสื้อกั๊กติดระเบิดดังกล่าว และเป็นไปได้ว่าเขามีแผนกดชนวนระเบิดฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายไม่ได้ทำ ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งระเบิดไม่ทำงานหรืออาจเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย ซึ่งเป็นไปตามข้อมูลของนายโมฮัมเหม็ด พี่ชายของนายซาลาห์ ที่เปิดเผยก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกัน กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนภัยการเดินทางทั่วโลก แนะนำให้ชาวอเมริกันระมัดระวังตัวเมื่ออยู่ในที่สาธารณะหรือใช้บริการขนส่งมวลชน เลี่ยงอยู่รวมกับฝูงชนและพื้นที่คนอยู่หนาแน่น เพราะเจ้าหน้าที่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุโจมตีก่อการร้ายในหลายภูมิภาค โดยฝีมือกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) เครือข่ายก่อการร้ายอัล เคดา กองกำลังติดอาวุธโบโก ฮาราม และกองกำลังอื่นๆ แม้ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าชาวอเมริกันจะตกเป็นเป้าโจมตีก็ตาม

Credit : http://www.thairath.co.th/

About admin

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *