(ภาพ: AP)
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. สมาชิกสภานิติบัญญัติเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เริ่มเปิดการอภิปรายแผนการปฏิรูประบบเลือกตั้ง สำหรับปี 2560 ที่จะเปิดโอกาสครั้งแรกให้ประชาชนลงคะแนนเลือกผู้บริหารสูงสุดเกาะฮ่องกง กระนั้นมีเงื่อนไขว่า ตัวแทนผู้ลงสมัครทั้งหมดจะต้องผ่านการคัดกรองจากคณะกรรมการของรัฐบาลจีนเสียก่อน โดยประเด็นส่วนหลังดังกล่าวนี้ ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดการชุมนุมใหญ่ในฮ่องกง เมื่อเดือน ก.ย. ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ กำหนดการลงมติรับรองแผนการปฏิรูปคาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 19 มิ.ย. นี้ โดยจะมีผลบังคับใช้ต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกสภาฯจำนวน 2 ใน 3 หรือ 47 ที่นั่ง จากทั้งหมด 70 ที่นั่ง อย่างไรก็ตาม สมาชิกสภาฯสายสนับสนุนประชาธิปไตย 27 คน ได้ประกาศว่าจะลงมติไม่เห็นชอบ เท่ากับว่ามีความเป็นไปได้สูงที่แผนการปฏิรูปเลือกตั้งชิ้นนี้จะไม่ผ่านการรับรอง เนื่องจากคะแนนไม่ถึง
ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่ารัฐบาลจีนได้มีความพยายามที่จะล็อบบี้ ส.ส.ฮ่องกง 27 คนดังกล่าวให้ลงคะแนนสนับสนุน อีกทั้งคณะกรรมการอิสระต่อต้านการคอร์รัปชันของฮ่องกง ก็เปิดเผยว่ามี ส.ส.ไม่ระบุชื่อรายหนึ่งอ้างว่ามีคนมาพยายามจ่ายสินบนนักการเมือง ให้ลงคะแนนสนับสนุนแผนปฏิรูปเลือกตั้งด้วย
ผู้ชุมนุมฝ่ายหนุนแผนเลือกตั้งของรัฐบาลฮ่องกง และฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย ปะทะกันระหว่างการเผชิญหน้าที่หน้าสภานิติบัญญัติ เมื่อวันพุธ (ภาพ: AP)
สำหรับบรรยากาศด้านนอกที่ประชุมสภาชาวบ้านจำนวนมากได้มารวมตัวกันชุมนุม โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนให้สภาฯผ่านแผนการปฏิรูป เพราะจะเป็นการสร้างเสถียรภาพให้แก่ฮ่องกง และกลุ่มที่ต่อต้านแผนการปฏิรูป มองว่าเป็นการมอบสิทธิ เลือกตั้งแบบจอมปลอม ขณะที่ผู้สื่อข่าวต่างชาติรายงานว่าจำนวนผู้ชุมนุมฝ่ายสนับสนุนแผนมีมากกว่าฝ่ายต่อต้าน แต่ภาพรวมเป็นไปอย่างสงบ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้น ซึ่งตำรวจเผยว่าได้เตรียมกำลังสำรองไว้กว่า 5,000 นาย
วันเดียวกัน ผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัย 3 แห่งของฮ่องกง แสดงให้เห็นว่า ชาวฮ่องกง 47 เปอร์เซ็นต์ สนับสนุนแผนปฏิรูป ขณะที่ 38 เปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วย ส่วนอีก 15 เปอร์เซ็นต์ยังไม่ตัดสินใจ ส่วนหนังสือพิมพ์พีเพิล’ส เดลี่ กระบอกเสียงรัฐบาลจีน ระบุว่าแผนปฏิรูปครั้งนี้เป็นรากฐานที่จะนำมาซึ่งความมีเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองแก่เกาะฮ่องกง พร้อมวิจารณ์เรื่องสิทธิในการเลือกตั้งโดยสมบูรณ์ ว่าเป็นระบบที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง ก่อให้เกิดความวุ่นวายในสังคมและปัญหาเศรษฐกิจมาแล้วในบางประเทศ.
Credit : http://www.thairath.co.th/
