RT สื่อรัสเซีย รายงานเมื่อวานนี้(26)ว่า เกิดระเบิดครั้งที่ 4 ในเมืองมัลเมอ( Malmo)ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสวีเดน ตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศ ทำให้ตำรวจสวีเดนวิตกถึงอัตราความรุนแรงที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อาทิ การกราดยิง ลอบวางเพลิงในเมืองทางใต้แห่งนี้ที่เป็นเขตผู้อพยพใหม่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน
การเกิดระเบิดครั้งที่ 4 เกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาในเมืองผู้อพยพแห่งนี้ โดยจากรายงานเปิดเผยว่า เหตุเกิดขึ้นบริเวณลานจอดรถในช่วงเช้าวันอาทิตย์(24)ในเขต Värnhem ที่คนร้ายใช้ระเบิดมือเข้าโจมตี สื่อท้องถิ่นสวีเดนรายงาน
และก่อนหน้านี้ในวันศุกร์(26) ได้เกิดระเบิดขึ้นในเขต Solbacken ซึ่งห่างไปไม่เกิน 12 ชม. ของการระเบิดก่อนหน้านั้นในในเขตบ้านพักอาศัยย่าน Limhamn ทางตะวันตกของมัลเมอ และยังห่างไป 2 วันหลังจากเกิดเหตุคาร์บอมบ์บริเวณศูนย์คอมมูนิตีเซนเตอร์ในทางใต้ ซึ่งทำให้มีชาย 1 คนได้รับบาดเจ็บ
“นี่เป็นเหตุเกิดครั้งที่ 13 นับตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา เรามีสถานการณ์ที่ร้ายแรงที่นี่” Stefan Sintéus หัวหน้าตำรวจเมืองมัลเมอกล่าวถึงเหตุระเบิดในวันศุกร์(24)จากการรายงานของ Local.se สื่อท้องถิ่นในวันเสาร์(25)
และจากเหตุความรุนแรงทั้งหลายที่เกิดทำให้ตำรวจท้องที่ต้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจเชี่ยวชาญจากส่วนกลางสวีเดน โดย Lars Förstell โฆษกตำรวจเมืองมัลเมอแถลงว่า “ทางเราได้ร้องขอความช่วยเหลือด้านเทคนิกในปัญหาต่างๆ”
RT รายงานเพิ่มเติมว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มีการเกิดเหตุการณ์รุนแรงต่อเนื่องในมัลเมอ โดยเริ่มตั้งแต่การยิง วางระเบิด และลอบวางเพลิง
และเป็นที่รู้กันดีว่า มัลเมอขึ้นชื่อว่าเป็นถิ่นอาชญากร และยังเป็นเมืองที่มีอัตราความรุนแรงสูง ประกอบกับเป็นเขตคนหลายเชื้อชาติอาศัยรวมกันอยู่ ทำให้มีปัญหาการขยายพื้นที่ของกลุ่มแก็งมุสลิมต่างๆในการขยายพื้นที่อิทธิพล
สื่อรัสเซียรายงานเพิ่มเติมว่า ทางตำรวจท้องที่เชื่อว่าเหตุระเบิดทั้งหลายที่เกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นต้องเชื่อมโยงกับคดีศาลสวีเดนสั่งลงโทษจำคุกวัยรุ่นชายจำนวน 3 คนในวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากมีหลักฐานทำให้เชื่อได้ว่าบุคคลทั้งสามมีส่วนข้องเกี่ยวกับการระเบิดในช่วงคริสมาสอีฟที่เขต Rosengard ที่รู้จักในนาม “สลัมของเหล่าผู้อพยพ”
ทั้งนี้สื่อธุรกิจ ไฟแนนเชียลไทม์ รายงานต่อว่า 9 ใน 10 ของประชาชนที่อาศัยในเขตนี้ล้วนอพยพมาจากประเทศอื่นทั้งสิ้น โดยตามประวัติพบว่าเมืองมัลเมอก่อตั้งขึ้นในยุค 60 และกว่า 80% ของประชาชนในเขตนี้ล้วนอพยพมาจากตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรปตะวันออก เช่น อิรัก ซีเรีย ยูโกสโลวาเกียก่อนล่มสลาย และโซมาเลีย
นอกจากนี้ในการให้ข้อมูลของตำรวจสวีเดนยังพบว่า 31 % ของประชากรในเมืองมัลเมอจากทั้งหมด 300, 000 คนนั้นเกิดนอกสวีเดน และเกือบ 41% นั้นมีภูมิหลังเกี่ยวข้องคนชนกลุ่มน้อยอพยพเข้าเมือง
ในขณะที่พบว่า 38% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้นที่มีงานทำ และไม่ต้องเป็นภาระแก่รัฐบาลสวีเดน ซึ่งจากจุดนี้สื่อไฟแนนเชียลไทม์ระบุว่า เป็นผลทำให้เยาวชนผู้อพยพต่างก่อเหตุความรุนแรง จลาจล และก่ออาชญากรรมประเภทต่างๆ ซึ่งจากการรายงานพบว่า เกือบครึ่งของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองมัลเมอมีอายุต่ำกว่า 35 ปี
และ RT รายงานต่อว่า อัตราการว่างงานโดยรวมของสวีเดนมีแค่ 8% แต่อัตราการว่างงานในกลุ่มเยาวชนกลับสูงถึง 25% ซึ่งคนส่วนใหญ่ในสวีเดนที่ไม่มีงานทำนั้น “ไม่ใช่ชาวสวีเดนแต่กำเนิด หรือเป็นกลุ่มคนที่ไม่ใช่คนผิวขาว”
นอกจากนี้ Förstel ยังให้ข้อมูลกับ RT ต่ออีกว่า มีจำนวนถึง 30-40 คนที่อยู่ในรายชื่อที่มีประวัติการก่ออาชญากรรมและมีอาวุธ ซึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมืองมัลเมอมักเกี่ยวข้องกับความไม่ลงรอยระหว่างกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ รวมไปถึงความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติของผู้อาศัยในเมืองแห่งนี้ ส่งผลทำให้เกิดความรุนแรง
ในเดือนมีนาคม 2015 โรงเรียนมัธยมต้น Varner Ryden ต้องปิดลงชั่วคราวเนื่องจากการเกิดการกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มนักเรียนที่มีความต่างในด้านเชื้อชาติและศาสนา และนำไปสู่ความรุนแรง
และยังพบว่าประชากรมุสลิมในเมืองมัลเมอคิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่มีจำนวนประชากรนับถือศาสนาอิสลามอยู่อย่างหนาแน่นในแถบประเทศสแกนดิเนเวีย
และการที่สวีเดนมีผู้อพยพชาวมุสลิมตั้งถิ่นฐานอยู่สูงสุด dailycaller สื่อสหรัฐฯรายงานในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2014 ภายใต้หัวข้อข่าว “Muslim Gangs Continue To Terrorize 55 Neighborhoods, Police Powerless” หรือ แก๊งมุสลิมยังคงอาละวาดหนักใน 55 เขตชุมชนของสวีเดน แต่ตำรวจกลับไม่สามารถรับมือได้
โดยสื่อสหรัฐฯระบุว่า สถานการณ์การขยายอิทธิพลของแก็งชาวมุสลิมในสวีเดนได้ขยายตัวลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยมีการสร้างเขตอิทธิพล no-go zones ขึ้น และทำให้เป็นการยากที่จะเข้าไปภายในเขตอิทธิพลของชาวมุสลิมนี้
ปัญหานี้ทำให้รถพยาบาลฉุกเฉินสวีเดนถึงกับต้องเรียกร้องให้ทางกาเปลี่ยนมาใช้รถพยาบาลฉุกเฉินที่มีความปลอดภัยคล้ายกับรถประจำกองทัพสวีเดน ซึ่งการเรียกร้องจากสหภาพรถพยาบาลฉุกเฉินมีขึ้นเนื่องจาก เมื่อรถพยาบาลเข้าไปด้านในเขตห้ามเข้า รถให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์จะถูกกลุ่มกวนเมืองมุสลิมในพื้นที่โจมตีทันที เช่น การกรีดล้อรถ ทุบกระจกหน้า รวมไปถึงทิ้งก้อนหินขนาดใหญ่ลงมาจากถนนยกระดับ
และอีกทั้งผู้ปฎิบัติหน้าที่กู้ภัยสวีเดนต่างตกเป็นเป้าการโจมตีเช่นกัน และในครั้งนั้นทำให้ทางหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินต้องร้องขออุปกรณ์ป้องกันตัวเพิ่ม เช่น หมวกนิรภัย โล่ หน้ากากกันแก๊สน้ำตา และเสื้อเกราะกันกระสุน
นอกจากนี้แก็งมุสลิมยังลามไปทำร้ายหรือก่อเหตุรุนแรงกับประชาชนผิวขาวชาวสวีเดนที่เป็นเจ้าของประเทศ ซึ่งมีรายงานว่า ลูกชายของเซเลบริตีที่มีชื่อเสียงในสวีเดนตกเป็นเป้าเหยื่อเหยียดผิว เมื่อเขาเดินทางไปยังเขตอิทธิพล no-go zones ของกลุ่มแก็งมุสลิมผู้อพยพเพื่อร่วมงานฉลองวันเกิดของเพื่อน และถูกทำร้ายอย่างหนัก พร้อมกับได้รับการสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปในเขตอิทธิพลนี้
Credit : http://manager.co.th/Around