นับเป็นอีกหนึ่งคดีประวัติศาสตร์ที่ผู้คนทั่วโลกยากจะลืมเลือน สำหรับการก่ออาชญากรรม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชา 1.7 ล้านคน อย่างโหดเหี้ยมของเหล่าบรรดา “ผู้นำเขมรแดง” ในระหว่างปี 2518-2522 ทั้งนี้แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเกือบครึ่งศตวรรษ แต่ความอำมหิตที่กลุ่มผู้นำเขมรแดงก่อไว้ไม่เคยลบเลือนไปจากความทรงจำของพี่น้องชาวเขมรทุกคน เพราะพวกเขายังเฝ้ารอที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้แก่วิญญาณผู้เสียชีวิตที่ต้องสิ้นสลายเพียงเพราะต้องตกเป็นเหยื่อในการสนองกิเลสแห่งความป่าเถื่อน และอำนาจที่บ้าคลั่ง
มาถึงวันนี้เหล่าบรรดาผู้นำเขมรแดงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเขมรต่างล้มหายตายจากไปตามกงเกวียนกำเกวียนที่กระทำไว้ แต่สำหรับ “นายนวน เจีย” และ “นายเขียว สัมพัน” ถือเป็น 2 อดีตผู้นำเขมรแดงที่ยังมีลมหายใจอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยขณะนี้ ทั้งสองคนเป็นชายชราในวัยเฉียด 90 ปี ที่ถูกทางการกัมพูชาถูกจองจำเพื่อรอการลงทัณฑ์ต่อการกระทำผิดในข้อหาอาชญากรรมสงคราม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ล่าสุด เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ศาลพิเศษกัมพูชามีคำตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต นายนวน เจีย และนายเขียว สัมพัน โดยคำพิพากษาดังกล่าวนับเป็นการตัดสินครั้งแรกที่จะทำให้อดีตผู้นำเขมรแดงได้รับโทษทัณฑ์ต่ออาชญากรรมที่ก่อไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน
ส่วนประวัติความเป็นมาของอดีตสองผู้นำเขมรแดงต้องบอกว่าไม่ธรรมดา โดย นายนวน เจีย ถือเป็นผู้นำหมายเลข 2 ของเขมรแดงรองจากนายพอล พต ผู้นำสูงสุดของเขมรแดงที่ล่วงลับไปแล้ว ปัจจุบันนายนวน เจีย อยู่ในวัย 88 ปี ในยุคที่เขมรแดงนายนวน เจียได้ชื่อว่าเป็น “พี่ชายหมายเลข 2” มีชื่อเดิมว่า นายลอง บุญรอด เกิดเมื่อปี พ.ศ.2468 เรียนกฎหมายที่กรุงเทพฯ เป็นศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2493 หนึ่งปีหลังจากนั้นได้โอนสมาชิกภาพไปสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน ซึ่งเวียดนามเป็นผู้นำ กระทั่งในเดือนเมษายน 2518 พรรคคอมมิวนิสต์ชนะรัฐบาลและยกกำลังเข้าสู่กรุงพนมเปญ
ในช่วงเขมรแดงเรืองอำนาจ นายนวน เจีย เป็นคนที่นายพอล พตไว้วางใจมากที่สุด โดยในช่วง 4 ปีระหว่างปี 2518-2522 อดีตผู้นำเขมรแดงผู้นี้มีส่วนทำให้ชาวเขมรล้มตายประมาณ 1.7 ล้านคน สาเหตุ มาจากการอดตาย ทำงานหนัก เจ็บป่วย ถูกทรมานและถูกประหาร เชื่อกันว่า นายนวน เจีย เป็นผู้กำหนดนโยบายการประหารชีวิตด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามในเดือนกันยายน 2550 เขาถูกจับกุมในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
กล่าวกันว่า ระหว่างให้การต่อศาล นายนวน เจียไม่ได้แสดงท่าทีสำนึกเสียใจในความผิดที่ทำไป และยังปฏิเสธข้อกล่าวหาเสียงแข็ง โดยโยนบาปทั้งหมดให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ตลอดเวลาที่ถูกศาลซักถามเขาเดินออกจากห้องพิจารณาคดีหลายครั้งเพื่อประท้วง รวมทั้งอ้างว่าตัวเองมีหน้าที่ให้ความรู้และการศึกษาแก่เขมรแดง และไม่เคยสอนให้ใครทรมานหรือฆ่าคน
ส่วน นายเขียว สัมพัน วัย 83 ปี ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจระดับสูงของเขมรแดงรองจากนายพอล พต เกิดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2474 เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี, ประธานสภาเปรซิเดียม และประมุขแห่งรัฐในยุคที่เขมรแดงเรืองอำนาจช่วงระหว่างปี 2519-2522 โดยนายเขียว สัมพัน และนายนวน เจียเป็นผู้วางแผนและสั่งอพยพคนออกจากกรุงพนมเปญไปยังชนบท และสังหารหมู่ทหารและเจ้าหน้าที่ในสมัยรัฐบาลของนายพล ลอน นอล ที่เป็นหุ่นเชิดของสหรัฐ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นตัวเร่งให้เกิดอาชญากรรมสะเทือนขวัญต่อมนุษยชาติ
ประวัตินายเขียว สัมพัน ถือว่าไม่ธรรมดา หลังจบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ และการเมืองการปกครองที่มหาวิทยาลัยปารีสในปี 2502 นายเขียว สัมพันได้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยพนมเปญ และตีพิมพ์จดหมายข่าวภาษาฝรั่งเศสที่มีคิดแนวสังคมนิยม ชื่อ “ล็อบแซร์แวเตอร์” แต่หลังจากผลิตมาได้ 1 ปี หนังสือพิมพ์ก็ถูกหน่วยรักษาความมั่นคงของรัฐบาลเจ้าสีหนุปิดในเวลาต่อมา แต่เขากลับได้รับเชิญให้เข้าร่วมรัฐบาลสังคมราษฎร์ ของเจ้าสีหนุ
หลังจากเหตุการณ์รัฐประหารยึดอำนาจเจ้าสีหนุ เมื่อปี 2513 กลุ่มชาวเขมรนิยมคอมมิวนิสต์ รวมทั้งนายเขียว สัมพัน ได้เข้าร่วมการก่อตั้งรัฐบาลแนวร่วมแห่งชาติกัมพูชา หรือ GRUNK ขณะนั้นเขาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพ GRUNK จากนั้นในช่วงระหว่างปี 2518-2522 นายเขียว สัมพัน ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ มากมาย กระทั่งยอมจำนนต่อรัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน เมื่อปี 2541
เมื่อปี 2550 นายเขียว สัมพัน ป่วยด้วยโรคหลอดเลือด หลังเข้ารับการรักษาได้ถูกส่งตัวขึ้นศาลพิจารณาคดีเขมรแดงในกัมพูชาที่สหประชาชาติอุปถัมภ์ และถูกตั้งข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามและก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ นายเขียว สัมพันปรากฏตัวในศาลครั้งแรก เมื่อเดือนเมษายน 2551 พร้อมยืนยันว่า แม้จะอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐ แต่ไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงต่อการก่ออาชญากรรมใดๆ ของเขมรแดงตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
รู้จักศาลพิเศษภายในศาลยุติธรรมแห่งกัมพูชา
ศาลที่พิพากษาคดีอดีตสองผู้นำเขมรแดงมีชื่อว่า ศาลพิเศษภายในศาลยุติธรรมแห่งกัมพูชา (Extraordinary Chambers in the Courts of Cambodia) หรือ อีซีซีซี โดยศาลดังกล่าวได้รับการสนับสนุนโดยสหประชาชาติ อีซีซีซี เพื่อทำหน้าที่พิจารณาความผิดของพวกเขมรแดงที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และก่ออาชญกรรมร้ายแรง ในช่วงแห่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชา
แม้ว่า อีซีซีซี จะเป็นศาลแห่งชาติของกัมพูชา แต่กถูกสถาปนาขึ้นโดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกัมพูชากับสหประชาชาติ ส่วนผู้พิพากษามีทั้งชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติ จึงถูกเรียกว่า เป็น “ศาลลูกผสม” และแม้จะก่อตั้งขึ้นโดยความร่วมมือกันระหว่างกัมพูชากับสหประชาชาติ แต่มีความเป็นอิสระ และแม้จะใช้สถานที่ในกัมพูชา แต่การพิจารณาคดีก็ใช้ทีมงานกัมพูชาและนานาชาติผสมกัน โดยการเชิญนานาชาติเข้าร่วมเพื่อปรับให้เข้ากับมาตรฐานสากล
การส่งคดีเขมรแดงให้อีซีซีซี เป็นการขยายขอบเขตการพิจารณาคดีที่ร้ายแรงที่ละเมิดกฎหมายอาญากัมพูชา, กฎหมายมนุษยธรรมและจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และละเมิดอนุสัญญาสากลที่ได้รับการยอมรับจากกัมพูชา ในช่วงระหว่างวันที่ 17 เมษายน 2518 จนถึงวันที่ 6 มกราคม 2522 ซึ่งความผิดเหล่านี้ ได้รวมถึงการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ, ก่ออาชญากรรมสงครามและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยวัตถุประสงค์หลักของการพิจารณาคดีเพื่อมอบความยุติธรรมให้แก่ชาวกัมพูชาที่ตกเป็นเหยื่อนโยบายของเขมรแดง ระหว่างเดือนเมษายน 2518 ถึงเดือนมกราคม 2522
Credit : คมชัดลึกออนไลน์