ล้างสมาชิกทั่วโลก ตั้งฐานในไซปรัส ถล่มรังใหญ่ซีเรีย
ตำรวจเบลเยียมยังแห้ว ล่าตัว “ซาลาห์ อับเดสลาม” แนวร่วมกลุ่มไอเอสรายที่ 8 เอี่ยวบึมปารีส หลังตะลุยตรวจค้น 22 จุดในเมืองหลวงและอีก 3 เมือง แต่รวบผู้ต้องสงสัยเอี่ยวก่อการร้ายได้เพิ่ม 16 ราย ส่งผลต้องขยายเวลาเตือนภัยก่อการร้ายสูงสุดในกรุงบรัสเซลส์ต่อ เพื่อป้องกันเหตุร้ายซ้ำรอย ด้านฝรั่งเศสประกาศกร้าว ถอนรากถอนโคนแนวร่วมไอเอสทั่วโลก โดยมีอังกฤษพร้อมยืนเคียงข้าง ด้วยการเสนอให้ใช้ฐานทัพในไซปรัสโจมตีกลุ่มไอเอสในซีเรีย
สำนักข่าวต่างประเทศยังคงติดตามและรายงานความคืบหน้าการไล่ล่าผู้ร่วมขบวนการไอเอสที่ก่อเหตุอุกอาจโจมตีกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา และมีข่าวว่าหลบมาซ่อนตัวอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม โดยเมื่อวันที่ 23 พ.ย. นายเอริก ฟาน เดอร์ ซิพท์ ผู้บัญชาการตำรวจหน่วยต่อต้านก่อการร้ายของเบลเยียม แถลงผลปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 22 พ.ย. โดยบุกเข้าตรวจค้นพื้นที่ 22 จุดในเบลเยียม แบ่งเป็น 19 จุดรอบย่านโมเล็นบีคของกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม และอีก 3 จุดในเมืองอื่นๆ ซึ่งข่าวไม่ได้เปิดเผยชื่อ เพื่อขยายผลตามล่าตัวผู้ต้องสงสัยเป็นแนวร่วมกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในอิรักและซีเรีย ก่อเหตุวินาศกรรม 6 จุดในกรุงปารีสของฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 13 พ.ย. ทำให้มีผู้เสียชีวิต 132 ราย ตำรวจเบลเยียมจับกุมผู้ต้องสงสัยได้เพิ่ม 16 ราย แต่ยังไม่พบตัวนายซาลาห์ อับ-เดสลาม อายุ 26 ปี ชาวฝรั่งเศส ที่อาศัยอยู่ในเบลเยียม และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อเหตุวินาศกรรมในกรุงปารีส หลบหนีกลับมายังเบลเยียม ทั้งยังเป็นน้องชายของนายบราฮิม อับเดสลาม มือระเบิดพลีชีพ เสียชีวิตในการก่อเหตุที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ด้วย
ด้านนายชาร์ลส์ มิเชล นายกรัฐมนตรีแห่งเบลเยียม แถลงเพิ่มเติมว่า ผลการตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องสงสัยในครั้งนี้ ไม่พบอาวุธหรือวัตถุระเบิด แต่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย จึงยังไม่มีคำสั่งยกเลิกประกาศเตือนภัยการก่อการร้ายระดับสูงสุด หรือระดับ 4 ในกรุงบรัสเซลส์ ขณะที่เมืองอื่นๆ ทั่วเบลเยียมยังคงประกาศเตือนภัยไว้ที่ระดับ 3 เพราะพบเบาะแสว่าอาจมีการลงมือก่อวินาศกรรมแบบเดียวกับกรุงปารีสของฝรั่งเศส จึงมีคำสั่งปิดสถานีรถไฟใต้ดิน หน่วยงานรัฐบาล และโรงเรียนต่างๆ ตลอดวันที่ 23 พ.ย. ทั้งยังขอความร่วมมือประชาชนงดเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการตรวจค้นพื้นที่รอบกรุงบรัสเซลส์และเมืองอื่นๆ ผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพราะเกรงจะเป็นการเปิดเผยเบาะแสให้กลุ่มผู้ต้องสงสัยไหวตัวและหลบหนีไปได้
นายยาน ฌอมบง รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยแห่งเบลเยียม ระบุว่า รัฐบาลจะยังคงประกาศเตือนภัยก่อการร้ายระดับสูงสุดต่อไปอีกระยะหนึ่ง พร้อมมีคำสั่งให้ตำรวจตรึงกำลังอารักขาสำนักงานสหภาพยุโรป (อียู) และที่พำนักของทูตอียูในกรุงบรัสเซลส์ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 1,000 นาย จะกระจายกำลังกันค้นหาและตามล่าตัวแนวร่วมกลุ่มก่อการร้ายต่อไป เพราะการที่นายซาลาห์ อับเดสลาม ผู้ต้องหาคนสำคัญ หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ไปได้จนถึงขณะนี้ แสดงให้เห็นว่ากลุ่มไอเอสมีแนวร่วมที่ให้การสนับสนุนอยู่ในเบลเยียมเป็นจำนวนไม่น้อย และรัฐบาลจะยังไม่ยกเลิกประกาศเตือนภัยจนกว่าจะสะสางคดีนี้ได้
ขณะที่นายฌอง-อีฟส์ เลอ ดรียง รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมแห่งฝรั่งเศส ประกาศต่อสื่อมวลชนในประเทศว่า ไม่ว่าอย่างไรกลุ่มไอเอสก็ต้องถูกทำลาย และต้องถอนรากถอนโคนแนวร่วมไอเอสทั่วโลก โดยจะต้องทำลายล้างกลุ่มไอเอสให้ราบคาบในดินแดนของพวกเขาเอง และขณะนี้เรือบรรทุกเครื่องบินของกองทัพฝรั่งเศส “ชาร์ลส์ เดอ โกลล์” เดินทางถึงน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มส่งเครื่องบินรบช่วยเหลือการปฏิบัติภารกิจถล่มฐานที่มั่นของกลุ่มไอเอสในซีเรียตั้งแต่วันที่ 23 พ.ย.เป็นต้นไป โดยย้ำว่ากองทัพฝรั่งเศสพร้อมรบแล้ว
ส่วนนายฟรองซัวส์ โอลองด์ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ให้การต้อนรับนายเดวิด คาเมรอน นายก รัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งเดินทางเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ เพื่อหารือกันด้านความร่วมมือต่อต้านกลุ่มก่อการร้าย โดยนายโอลองด์และนายคาเมรอน เดินทางไปยังโรงละครบาตากล็องในเขต 11 ของกรุงปารีส เพื่อวางพวงหรีดไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตเมื่อ 13 พ.ย. เนื่องจากเป็นจุดที่มีผู้เสียชีวิตมากสุด 90 ราย รวมถึงชาวอังกฤษ จากนั้นนายโอลองด์และนายคาเมรอนได้เจรจาความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่พระราชวังเซลีเซส์ในกรุงปารีส สื่อฝรั่งเศสรายงานว่านายโอลองด์เตรียมยกระดับปฏิบัติการโจมตีกลุ่มไอเอสในซีเรีย โดยจะมุ่งทำลายเป้าหมายที่จะก่อให้เกิดความย่อยยับแก่กองกำลังของกลุ่มไอเอสให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และนายโอลองด์มีกำหนดเดินทางไปรัสเซียเพื่อหารือมาตรการความร่วมมือในการต่อสู้กลุ่มก่อการร้ายร่วมกับรัฐบาลรัสเซียภายในสัปดาห์นี้อีกด้วย
ในเวลาต่อมา นายเดวิด คาเมรอน นายก-รัฐมนตรีอังกฤษ ออกแถลงการณ์สรุปการเจรจากับนายฟรองซัวส์ โอลองด์ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ระบุว่ารัฐบาลอังกฤษจะเปิดทางให้กองทัพฝรั่งเศสเข้าร่วมใช้ฐานทัพ “อะโครทิรี” ของอังกฤษ ตั้งอยู่ในไซปรัส อดีตประเทศอาณานิคมของอังกฤษ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อเป็นฐานปฏิบัติการระดมโจมตีทางอากาศทำลายที่มั่นของกลุ่มไอเอสในซีเรีย และนายคาเมรอนยังเผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายออนไลน์ทวิตเตอร์ด้วยว่าอังกฤษและฝรั่งเศสจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายในครั้งนี้
สำหรับความร่วมมือจากนานาชาติในการสกัดขบวนการก่อการร้ายนั้น สำนักข่าวต่างประเทศรายงานในวันเดียวกันว่า นายไอโอนัส นิโคเลา รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไซปรัส แถลงข่าวว่า ตำรวจไซปรัสจับกุมชาย 6 คนในฐานะผู้ต้องสงสัยเป็นแนวร่วมก่อการร้ายได้ที่สนามบินลาร์นาคาของไซปรัสตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. หลังชายทั้งหมดเดินทางจากสวิตเซอร์แลนด์มายังไซปรัสโดยใช้หนังสือเดินทางสัญชาติฝรั่งเศส แบ่งเป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายตุรกี 5 ราย และเชื้อสายแอลจีเรีย 1 ราย แต่ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดถูกส่งตัวกลับไปให้รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ดำเนินการสอบสวนต่อเมื่อวันที่ 23 พ.ย. และยังไม่อาจระบุได้ว่าผู้ต้องสงสัยเกี่ยวพันกับกลุ่มไอเอสหรือกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ
ขณะที่นายมัลคอล์ม เทิร์นบูล นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แถลงว่า ตำรวจต่อต้านก่อการร้ายของออสเตรเลียกำลังเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของวัยรุ่นชาย 12 รายในชุมชนต่างๆ ของออสเตรเลีย ในฐานะผู้มีแนวคิดสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย และมีความเกี่ยวพันกับนักโทษ 19 ราย ถูกจับและคุมขังในเรือนจำออสเตรเลียช่วงปีที่ผ่านมาในข้อหาวางแผนก่อการร้ายทั้งหมด 6 ครั้ง ตำรวจออสเตรเลียสืบพบเบาะแสและสกัดไว้ได้ก่อนจะมีการก่อเหตุ ส่วนวัยรุ่นที่อยู่ในกลุ่มเฝ้าระวังมีแนวโน้มว่าจะบุกเดี่ยวก่อเหตุวินาศกรรมตามจุดต่างๆ ในออสเตรเลียได้
นอกจากนี้ นิตยสารไฟแนนเชียลไทม์ส สื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจของอังกฤษ รายงานว่า นายโจ แคเซอร์ ซีอีโอของบริษัทซีเมนส์ เครือบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดในยุโรป เผยว่า บริษัทต่างๆอาจชะลอแผนลงทุนไว้ก่อน สืบเนื่องจากเหตุโจมตีกรุงปารีส เพราะการลงทุนเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นและอนาคต การเกิดเหตุร้ายเช่นนี้ ความเชื่อมั่นนักลงทุนก็หดหาย สอดคล้องกับท่าทีนายคาร์โล ปาดวน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแห่งอิตาลี ระบุก่อนหน้านี้ว่าเหตุโจมตีที่ปารีสอาจส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อการฟื้นตัวของกลุ่มประเทศยูโรโซน
ส่วนในไทย เมื่อเวลา 13.30 น.ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง นางแคทเธอรีน อ็อกกินี ทูตฝ่ายกิจการตำรวจ สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส เข้าพบ พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบช.สตม. เพื่อแสดงความขอบคุณที่ทาง สตม. แสดงความห่วงใยและมีแผนรองรับทันทีที่เกิดเหตุในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พล.ต.ท.ณัฐธรเปิดเผยว่า ทูตฝ่ายกิจการตำรวจ สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส เข้าพบตนเพื่อแสดงความขอบคุณที่ สตม. แสดงความห่วงใยและได้ประสานไปยังอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งมอบรายชื่อผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อนำมาบันทึกลงในระบบคอมพิวเตอร์ของ สตม. เป็นบุคคลต้องห้าม เนื่องจากระบบจะตรวจสกัดโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องพึ่งสายตาของเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียว จะได้ผลที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อไม่ให้บุคคลเหล่านี้หลุดเข้ามาในประเทศไทย
ต่อมานายมิเชล กาโดต์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติฝรั่งเศส แถลงว่า ตั้งแต่เกิดเหตุโจมตีกรุงปารีส 6 จุดเมื่อ 13 พ.ย.เป็นต้นมา ตำรวจบุกตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยต่างๆ ในภูมิภาคปารีสแล้วถึง 298 จุด อีกทั้งยังมีการระดมตำรวจ 10,200 นาย ทหาร 6,400 นาย ไปรักษาความปลอดภัยตามสถานที่สำคัญต่างๆ เพราะภัยคุกคามจากการก่อการร้ายยังสูงอยู่ เห็นได้จากการส่งข้อความทางอินเตอร์เน็ตจำนวนมากของกลุ่มไอเอส มุ่งเป้าที่ฝรั่งเศส ส่วนนายมิเชล ซาแปง รมว.คลังฝรั่งเศส เผยว่า รัฐบาลฝรั่งเศสเตรียมออกมาตรการควบคุมการใช้บัตรเติมเงินสดให้เข้มงวดขึ้น หลังการสอบสวนพบว่า กลุ่มผู้โจมตีกรุงปารีสใช้บริการโอนเงินผ่านบัตรเติมเงินสดในการเตรียมการโจมตี ทำให้ตรวจสอบได้ยาก
ด้านกองทัพรัสเซียแถลงในเวลาต่อมาว่า ใน 2 วันหลังเครื่องบินรบรัสเซียโจมตีทางอากาศถล่มกลุ่มไอเอสในซีเรียอย่างหนักแล้วถึง 472 เป้าหมาย ทั้งในเขตกรุงดามัสกัส เมืองอเลปโป อิดลิบ ลาคาเกีย ฮามา ฮอมส์ เดียร์ เอซเซอร์ และรักกา เมืองหลวงของไอเอส โดยการโจมตีสามารถทำลายรถบรรทุกน้ำมัน 80 คัน ใกล้เมืองรักกา ไปจนถึงคลังเก็บน้ำมันและโรงกลั่นน้ำมันของไอเอสด้วย ขณะที่ต่อมาอัยการเบลเยียมแถลงเพิ่มเติมถึงการตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยอีกอย่างน้อย 5 จุด ในกรุงบรัสเซลส์ และเมืองลีแยฌทางภาคตะวันออก สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 5 คน ทำให้มีผู้ถูกจับกุมรวมแล้ว 21 คน รวมถึงยังยึดเงินสดได้ 26,000 ยูโร
Credit : http://www.thairath.co.th/