รัฐบาลมอบเงินช่วยผู้แสวงบุญที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์เครนยักษ์ถล่มทับมัสยิดที่นครเมกกะ ส่วนศพหญิงไทยที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ถูกนำไปประกอบพิธีทางศาสนาแล้ว อีก 2 คนที่สูญหายพบแล้วบาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลรักษาตัว บริษัทเจ้าของเครนออกมาแสดงความเสียใจพร้อมจะสอบสวนสาเหตุเครนล้ม
ความคืบหน้าเหตุเครนยักษ์ล้มทับมัสยิดอัลหะรอม หรือแกรนด์มัสยิด ที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ 11 ก.ย. ก่อนเริ่มพิธีฮัจญ์ โดยเหตุเกิดขณะมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมพัดกระโชกแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีผู้แสวงบุญชาวไทย 1 คนนั้น
สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันที่ 14 ก.ย.ว่า กระทรวงสาธารณสุขซาอุดีอาระเบียแถลงเมื่อวันที่ 13 ก.ย.ว่า ยอดผู้เสียชีวิตมีเพิ่มเป็น 111 คน ขณะที่ผู้บาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาล 394 คน ขณะนี้เหลือนอนอยู่โรงพยาบาล 158 คน สื่อท้องถิ่นของซาอุดีอาระเบีย รายงานว่า ทางการซาอุฯ ตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมาสอบสวนเหตุดังกล่าว แต่ก่อนหน้านี้หน่วยงานป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนของซาอุฯซึ่งนำปฏิบัติการกู้ภัยได้ออกมาระบุว่า เครนยักษ์ล้มทับมัสยิดอัลหะรอมเพราะอิทธิพลจากกระแสลมพัดแรง แต่ไม่มีหลักฐานหรือหน่วยงานใดยืนยันชัดเจน
ด้านบริษัทผู้ผลิตเครนในเยอรมนี “ลีบแฮร์” (Liebherr) แถลงแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้สูญเสียและกล่าวว่า บริษัทจะทำทุกวิถีทาง เพื่อช่วยให้การสอบสวนได้ข้อสรุปโดยเร็วและสมเหตุผล อีกทั้งบริษัทได้ออกคู่มือคำแนะนำ วิธีการติดตั้งเครนยักษ์และป้องกันผลกระทบจากกรณีลมพัดแรงแล้ว
สำหรับมัสยิดอัลหะรอม เป็นมัสยิดใหญ่ที่สุดในโลก ล้อมรอบด้วยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมที่รู้จักกันว่า “คาบา” อยู่ระหว่างการพัฒนาขยายพื้นที่ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทก่อสร้าง “บินลาดิน กรุ๊ป” เครือธุรกิจตระกูลของนายโอซามา บินลาดิน อดีต
ผู้นำเครือข่ายก่อการร้ายอัล-เคดา ผู้ล่วงลับ ซึ่งบินลาดิน กรุ๊ป ยังไม่แถลงใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้านแหล่งข่าวใกล้ชิดการสอบสวนระบุว่า น่าจะมีประธานหรือตัวแทนระดับสูงของบินลาดิน กรุ๊ป ร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสอบสวน เหตุเครนยักษ์ล้มทับมัสยิดอัลหะรอมด้วย
นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเหตุการณ์ เครนยักษ์ถล่มที่นครเมกกะว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานงานและติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้ จากสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ อย่างต่อเนื่อง ได้รับรายงานยืนยันว่า มีผู้แสวงบุญชาวไทยเสียชีวิตหนึ่งราย คือ น.ส.วนิดา สะดี อายุ 48 ปี ซึ่งญาติผู้เสียชีวิตได้นำศพไปฝังที่สุสานมัสยิดอัลหะรอมที่เกิดเหตุแล้ว สำหรับผู้แสวงบุญชาวไทย 2 ราย ซึ่งก่อนหน้านี้สูญหายนั้น สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ ติดตามจนพบตัว ขณะนี้กำลังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่ฯ ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บแล้วทั้ง 2 คนมีอาการปลอดภัย
ส่วนคนไทยที่เสียชีวิต 1 ราย คือนางวนิดา สะดี และผู้บาดเจ็บ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จุฬาราชมนตรี ในฐานะอะมีรุ้ลฮัจญ์ และสำนักงานกิจการฮัจญ์แห่งประเทศไทย ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวและญาติของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ พร้อมขอบคุณทุกฝ่าย ที่ช่วยกันค้นหาผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ ทั้งนี้ จะมีผู้แสวงบุญชาวไทย ทยอยเดินทางกลับไทยในเที่ยวบินแรก วันที่ 28 ก.ย.นี้
นางนูเราะ ด้วงดล บุตรสาว นางนะผิส๊ะ อยู่บ้าน เลขที่ 175 หมู่ 5 ต.ชะรัด อ.กงหรา จ.พัทลุง ที่บาดเจ็บ จากเหตุการณ์เครนยักษ์ล้มเผยว่า หลังเกิดเหตุติดต่อมารดาไม่ได้ จนต่อมาติดต่อได้ผ่านทางญาติทราบว่าได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว ขณะที่นายก้อเส็ม สามีนางนะผิส๊ะเปิดเผยว่า ดีใจมากที่ทราบว่าภรรยาปลอดภัย บรรยากาศที่บ้านตั้งแต่ช่วงเช้ามีเพื่อนบ้านทยอยมาถามข่าวและแสดงความยินดีเป็นจำนวนมาก
ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวว่า กรณีอุบัติเหตุเครนก่อสร้างล้มทับผู้แสวงบุญ ที่นครเมกกะ ซาอุดีอาระเบีย ได้มอบเงินช่วยเหลือไปแล้ว โดยผ่านเลขาศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
Credit : http://www.thairath.co.th/