(ภาพ: AP)
เมื่อ 8 ก.ย. องค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลและฮิวแมนไรต์วอตช์ โจมตีกลุ่มประเทศแถบอ่าวเปอร์เซีย ได้แก่ กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน และบาห์เรน ซึ่งไม่มีมาตรการใดในการช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัยจากซีเรียซึ่งมีจำนวนประมาณ 4 ล้านคน
ในขณะที่สหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐฯ ถูกโจมตีอย่าง หนักที่รับดูแลผู้อพยพลี้ภัยจากแอฟริกาและตะวันออกกลาง รวมถึงซีเรียได้แค่ จำนวนน้อย แต่เจ้าหน้าที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติเผยว่า ซาอุดีอาระเบียได้ให้ที่พำนักแก่ชาวซีเรียกว่า 500,000 รายแล้วในปัจจุบัน
ส่วนสถานการณ์ที่ผู้อพยพราว 2,500 คน ล่องเรือมาขึ้นฝั่งยังเมืองเลสบอสของกรีซ ทวีความตึงเครียดมากขึ้นช่วงกลางดึก 7 ก.ย. เมื่อผู้อพยพเรียกร้องขอคำตอบเรื่องการส่งตัวไปยังประเทศที่ 3 หลังเยอรมนีและอังกฤษ ประกาศรับตัวผู้อพยพลี้ภัยไปอยู่ในความดูแลเพิ่มเติม ทำให้ตำรวจปราบปรามจลาจลใช้กระบอกตะโกนขู่กลุ่มผู้อพยพให้อยู่ในความสงบ
ขณะที่ชาวอเมริกันราว 1,300 รายร่วมกันลงชื่อและรณรงค์ผ่านเว็บไซต์ “มูฟออน.โออาร์จี” เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขยายโควตาการรับดูแลผู้อพยพลี้ภัยจากซีเรียเพิ่มเติม ส่วนรัฐบาลเวเนซุเอลาประกาศรับดูแลผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย 20,000 ราย.
Credit : http://www.thairath.co.th/