อยากรู้เรื่องเขา เล่าเรื่องของเราให้เค้าฟัง
ก่อนอื่นทริปนี่เป็นทริปในฝันของใครๆหลายคนที่อยากมีสักครั้งต้องไปเยี่ยมเยียนหมู่บ้านที่อยู่ทามกลางหุบเขา และมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ทริปนี่อี๊ดเลือกเดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชีย จากสนามบินอู่ตะเภาพัทยา ระยอง สะดวกมากมีทุกวันเช้ามืด เราได้ซื้อ Voucher รถเช่าวันธรรมดาน่าเที่ยงเพียงวันละ 599 บาท ต่อจากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่แม่กำปอง อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างทางก็ออกจะ งง งง กับเส้นทางบ้างพอเป็นพิธี เพราะเจ้ากำ GPS บางทีก็อยากจะให้เรามาทางลัด (ลัดไปทางทุ่นนา) แต่ถือเป็นเรื่องที่ดี อิ อิ อิ เพราะเอาเข้าใจก็ชอบนะ ปกรติไม่ค่อยได้เจอการขับรถที่ต้องตื่นเต้น และผ่านทุ่งนาเล็ก ๆ และแล้วเราก็เข้าเขตป่าสวย ๆที่อำเภอแม่ออน ก็จะขึ้นไปต่อยังจุดหมายปลายทางเราได้แวะที่จุดพักรถ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก ซึ่งบรรยากาศฟินสุดขั่วหัวใจ พวกเราได้สั่งน้ำปั่น และนั่งพักเอาเท้าแช่น้ำ ฟังเสียงน้ำตก มีฝนตกพร่ำ ๆ มันน่านั่งระรึกถึงวันที่อกหัก รักคุด ตุ๊ดจากซะจริง ๆ 5555 เข้าเรื่องนิดหนึ่ง เราได้มีโอกาสสอบถามกับพี่พี่ที่อยู่ในโครงการ และพี่พี่ได้แนะนำให้เราไปเที่ยวบ้านต้นไม้ ร้านอาหารที่อยู่บนต้นไม้ The Giant Chiangmai Thailand ซึ่งในตอนนั้นโทรศัพท์ก็ยังพอมีสัญญาณอยู่บ้างเปิดดูข้อมูล โอ๊ว พระเจ้า ถ้าไม่ไปถือว่าพลาดมาก ถึงมากที่สุด
และแล้วก็ไม่ให้เสียเวลา เราก็ไม่รอช้าจอดรถทิ้งไว้ที่โครงการและใช้บริการรถแทกซี่ท้องถิ่น ซึ่งคิดค่าบริการเพียงคนละ 200 บาท ในระหว่างทางมันช่างสวยงามมากมองไปทางไหนก็เจอแต่ยอดกิ่งไม้ และหุบเขา แต่เราเชื่อมือเจ้าถิ่น อิ อิ อิ แต่ก็แอบกลัวเล็กน้อย จากนั้นจุดมุ่งหมายของเราก็มาถึง ด้วยความยากลำบากมากกกกก ทางกำลังทำ แต่เมื่อมาถึงเราทั้งหายเหนื่อย นี่มันคือสวรรค์ของคนเมืองอย่างพวกเรา คำถามแรก ทำได้งัยอะ (อยากรู้จักไปถึงเจ้าของ เอาความคิดดีดีแบบนี่มาจากไหนเนี่ย) จุดที่ทำให้เราตื่นเต้นอีกจุด
เมื่อถึง The Giant Chiangmai คือ ทางเดินเชื่อมระหว่างร้านอาหาร เป็นหุบเขา ซึ่งก็มีโน๊ตตัวใหญ่พอสมควร เขียนว่า ให้เดินได้แค่เพียงครั้งละ 2 คน อะเค เรามา 2 คนพอดี เราได้รับการต้อนรับที่ดีจากพนักงาน และเพื่อไม่ให้เสียเวลา เราก็ขอนอนที่นี่เลยละกัน ทีมงานได้คิดค่าที่พักเราในวันธรรมดาเพียง 2,500 บาท เป็นแพ็คเก็จ ซึ่งรวม ที่พัก 1 คืน อาหาร 2 มื้อ คือ มื้อเย็น กับ มื้อเช้า และที่สำคัญ อิ อิ อิ รวมกิจกรรมโหนเป็นลิง อุ๋ญ ไม่ช่ายยย โหนสลิง (Zip lining) เราเอากระเป๋าเก็บต่อจากนั้นพวกเราก็ไม่รอช้ามาใช้บริการ โหนสลิง อิอิอิ ครั้งแรกที่โหนจากต้นไม้กลางหุบเขาจากอีกต้นหนึ่ง ไปอีกต้นหนึ่ง ขอบอกว่าวินาทีที่สวมชุดรู้สึกตื่นเต้น ถ่ายรูปเก็บภาพเอาไว้พอสมควร แต่พอตอนที่เจ้าหน้าที่ตะโกนเรียกเรา พี่คับ พี่พร้อมไม่คับ หึ หึ ในใจยังไม่พร้อม แต่เกิดเป็นผู้หญิงรุ่นนี้ต้องสตรอง สตรอง สตรอง เอาฮะ พร้อมก็ได้ น้อง ๆ ก็ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเรียบร้อย หลังจากนั้นเราก็รู้สึกตัวอีกที อ่าว ปล่อยเรามาเฉยเลย อุ๋ย ลืมร้องตะโกน นึกขึ้นได้ เอ้ยยยยยยยย กรีดดดดด สุด ๆ เท่าที่กำบังลมพอจะออกมาได้ ตอนไป ไม่ทันได้สัมผัสความสวยงานเพราะกลัวมัวแต่ร้องกรีด กับหลับตา 5555 เดียวตอนขากลับโหนกลับเอาใหม่ ตอนกลับแปลกอะ ไม่กล้าร้องเพราะใช้สิทธิไปแล้ว ตรงกันข้ามโห ถ้าได้มีโอกาสเกิดเป็นลิงคงสนุกเนอะ ต้นไม้หุบเหวช่างสวยงามเหลือเกิน และแล้วกิจกรรมก็สิ้นสุดพร้อมความประทับใจกับที่นี่ หลังจากนั้นเราก็เดินสำรวจและเข้าที่พักพักผ่อน (โชคดีที่นี่มี Wifi) จากนั้นเราก็ได้นัดแนะกับทีมงานที่นั้นเวลา 6 โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่กำลังจะมืด แต่ยังไม่ทันมืด เราเดินขึ้นมาอีกครั้งที่ห้องอาหาร ได้อารมจริง ๆ แสงสีทองของพระอาทิตย์ ที่เหมือนจะลับขอบฟ้าไปแล้วแน่ ๆ แต่ยังพอให้เห็นเป็นแสง กระทบกับต้นไม้ ใบไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้เราได้ชื่นชมในมุมเดียวกัน มันช่างสวยอะไรเช่นนี้ นึกในใจ ( นี่ถ้ามีสามีเราจะได้มีโอกาสฟินแบบโสด ๆ เปล่าว้า) 555 อาหารจัดไว้ครบแหละ มีหมูทอดแดดเดียว ต้มยำเห็นอริจิกับไก่ ผัดผักรวม 3 อย่าสำหรับเรา 2 คน 2 คน จริ ๆ ด้วย เพราะทั้ ต้นไม้มีเราเป็นแขกที่ค้าอยู่แค่ 2 คน VIP สุด ๆ ท่ามกลา เสีย หลากหลายในป่า คล้ายเสีย ดนตรี ที่ทำให้พวกเราอยากจะรีบทานอาหารให้เสร็จ เพราะจะได้ถ่ายรูป สวย เก็บไว้ อิ อิ อิ และแล้วคืนนั้น เราก็นอนบนต้นไม้กัน 2 คน โดยที่ไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย
วันที่สอ
โบกมือลาด้วยความประทับใจ พร้อมอาหารเช้าที่อร่อยที่สุดในวันนั้น เราได้ใช้บริการรถแท็กซี่รับจ้า จากบ้านป๊อก ไปแม่กำปองต่อ จุดที่เราตั้งพิกัดไว้ ใช้เวลาเดินทางเพียง 30 นาที จากนั้น ก็เข้าเช็คอินที่บ้านริมธาร by พี่เก๋ สังเกตุง่ายๆ จะมีจุดเช็คอินที่ร้าน ซึ่งเป็นร้านเดียวกับจีโนกาแฟ พวกเราตื่นเต้นมาก เพราะห้องพักที่ได้พักอยู่ริมลำธาร ฟังเสียงน้ำในลำธารกระทบกับก้อนหินน้อยใหญ่และบรรยากาศฝนตกพรำๆ เล็กน้อยผสมกินไอดินและหญ้า จากนั้นเราก็ไม่รอช้ารีบเก็บสัมภาระ ตั้งหน้าตั้งตาไปทำความรู้จักกับหมูบ้านแม่กำปอง ที่แรกที่เราจะไปคือ ร้านกาแฟที่มีคนรีวิวเยอะมากร้านกาแฟ ลุงปุ๊ด ป้าเป็ง แม่กำปอง ซึ่งที่นี่ก็มีบริการบ้านพักให้นักท่องเที่ยวแบบชิค ๆ ได้มีโอกาสมาสัมผัสวัฒนธรรมคน ขอบอกราคาค่าที่พักที่บ้านลุงปุ๊ดป้าเป็ง อยู่ที่ท่านละ550 บาท รวมที่พัก และอาหาร 1 มื้อ จากนั้นเราก็ เราก็ได้เดินทางตามเส้นทางธรรมชาติโดยมีน้ำตกขนานข้างเรา ซึ่งวันนี้ที่เรามาตรงกับวันธรรมดา สงบ เงียบ นี่คือมนต์รักหุยเขา เอ้ย!!!มนต์เสน่ห์ ที่คนกรุงอย่างเราไม่ค่อยได้มีโอกาสพบเห็น แถมบ้านแต่ละหลังก็ยังคงเป็นเรือนไม้เก่าๆ ให้นักเชวฟี่ได้มีกิจกรรมถ่ายรูปกับตัวเองอย่างสุขใจ จากนั้นเราก็ได้ไปนมัสการกราบใหว้ขอพรวัดคันธาพฤกษา ซึ่งเป็นวัดเล็กๆประจำหมู่บ้าน งดงามด้วยศิลปะล้านนา รายล้อมด้วยธรรมชาติ ซึ่งที่สำคัญเราได้เดินทางไปลำธารด้านล่างมีพระอุโบสกกลางน้ำ ที่งดงาม อิจฉาคนที่นี่จัง ไม่ว่าจะเดินไปสัมผัสตรงจุดไหนก็มีแต่ความสุข สุดท้ายห้าม ห้าม ห้าม พลาด เลยถือว่าเป็นแลนด์มาคและต้องไปเช็คอิน คือร้านชมนกชมไม้ เป็นอีกหนึ่งร้านกาแฟที่โดงดังข้ามเขา ข้ามจังหวัด วิวทิวทัศน์อยู่บนไหล่เขาซึ่งทำให้มองเห็นหมู่บ้านแม่กำปองได้อย่างชัดเจน เราก็เก็บภาพ และความทรงจำ รวมถึงโอโซนที่ฟอกด้วยป่า ที่อุดมสมบูรณ์ และบวกด้วยผู้คนในหมู่บ้านน้ำใจงาม เฮ้อ ไม่อยากจะกลับลงเขาเลยนะเนี้ย ได้เวลาท้องเริ่มร้อง นี่จะเย็นแล้ว กลับไปยังบ้านพักของเรา ซึ่งพี่เก๋คงทำอาหารพื้นเมืองอร่อยๆไว้รอพวกเราแหละ จากนั้นเราก็อำลาร้านกาแฟ เพื่อไปทำภาระกิจเพื่อสึขภาพท้อง อิ อิ อื กลับมายังที่พักตามเวลาที่พี่เก๋ เจ้าของโฮมสเตย์และเป็นแม่ครัวทำอาหารพื้นบ้านให้เรากินมื้อนี่ พี่เก๋ในขณะที่กำลังจัด้ตรียมอาหารพี่เก๋ก็ได้พูดคุยถึงการให้บริการบ้านพักในลักษณะโฮมสเตย์ ซึ่งที่นี่ได้ให้บริการมาครบ16 ปีแล้ว ชุมชนที่นี่ยังเป็นชุมชนตัวอย่างและรูปแบบการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และทุกๆบ้านร่วมมือกันและรวมถึงคนในหมูบ้านพยายามไม่ให้คนนอกพื้นที่เข้ามาทำกิจการ และรวมถึงห้างร้าน นอกจากชาวบ้านที่เป็นชาวบ้านดังเดิมเท่านั้น และนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่พวกเราโชคดีที่ชาวบ้านช่วยกัน ทำให้พวกเราได้มีแหล่งท่องเที่ยวที่เจอความเป็นธรรมชาติจากคนที่นี่และป่าไม้ที่ไม่ได้ถูกทำลายเพราะผู้คนที่รักกันสามัคคี ฟังแบบนี่แล้วรู้สึกดีจัง พวกเราฟังที่เก๋จนเพลิน พี่เก๋ก็จัดเตรียมอาหารที่สุดแสนจะธรรมดา แต่ไม่ธรามดา เพราะเรารู้สึกถึงความอบอุ่น และความตั้งใจของพี่เก๋ ที่จะทำอาหารให้พวกเราทาน อันดับแรก คือ ผัดผักเชียงดาวกับไข่ รสชาดคล้าย ๆ ดีมากไม่เหม็นเขียวอร่อย แกงฮังเล ไม่เผ็ดมากหมูสามชั้นไม่รู้สึกมันแถมรสชาดกลอมกล่ม ลาบหมูคั่วกับผักสดจานนี่เน้นเผ็ดมีครบรส และที่สำคัญคือ ขนมจีนน้ำเงี่ยวหม้อดิน ซึ่งพี่เก๋อุ่นน้ำแกงน้ำเงี่ยวด้วยเตาถ่านอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีรสชาดเข้มข้น และหอมหอมเจียวและเครื่องเทศที่ผสม สุดยอดแล้วคะ เพราะกินข้าวไปด้วยฟังเสียงน้ำตก และเสียงนก นั่งห้อยขาปล่อยตัวตามสบาย โอ๊ว บรรยายคงไม่ถึง มาเองเลยเถอะคะ จากนั้นอิ่มแล้ว พวกเราก็มานั่งริมลำธารหน้าห้อง เอาเท้าแช่น้ำ เหมือนได้สปาเท้าเพราะแรงน้ำที่กระทบกับโขดหินและไหลผ่านเท้าพวกเราคลายความเมื่อยล้าที่เราเดินชมธรรมชาติในหมู่บ้าน สักพักพอเริ่มมืดเราก็เข้าห้องพักเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำพักผ่อน ไม่ต้องกังวนนะคะที่นี่มีน้ำอุ่นคะ สบายมาก คืนนี้เราพักผ่อนท่ามกลางเสียงธรรมชาติที่ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสกลับมาอีกเมื่อไหร่ พักผ่อน พรุ่งนี้เตรียมตัวกลับเข้าเมืองเพื่อเตรียมตัวกลับระยอง
วันที่สาม เราตื่นมาแต่เช้าเหมือนเดิมได้ยินเสียงน้ำตก กับเสียงนก ร้องเหมือนเป็นเสียงนาฬิกาปลุกทำให้พวกเรารีบลุกขึ้นเพราะกลิ่นกาฟาที่พี่เก๋เตรียมให้พวกเรามันช่างยวนยั่วชะนี่กะไร กาแฟที่นี่เป็นกาแฟที่คนในพื้นที่ปลูกกัน เพราะฉะนั้น คุณจะได้กาแฟจากต้นทาง พร้อมกับข้าวต้มร้อน ๆ ซึ่งเข้ากันได้ดีในช่วงเช้าที่อากาศเย็น พร้อม ๆ กับความรู้สึกอบอ่นที่พี่เก๋ เจ้าของบ้านให้ วันนี้เราจะเตรียมตัวกลับตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเราได้นัดรถมารับเราที่นี่ อำลาพี่เก๋ และทุก ๆ ในหมู่บ้านด้วยรอยยิ้มที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันด้วยมิตรภาพ จากนั้นเราก็นั่งรถไปโครงการหลวงตีนตกเพื่อเอารถที่จอดไว้เดินทางกลับเชียงใหม่ โปรแกรมวันนี้ก่อนถึงตัวเมืองเชียงใหม่แวะพักกันที่บ่อน้ำร้อนสันกำแพง พักสัก 30 นาที เอาเท้าแช่น้ำ จากนั้นเรามุ่งหน้าไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อเข้าไปเช็คอินที่ถนนนิมมานซอย 1 เราได้จองที่พักไว้ชื่อ 22:30 Hostel ที่พักสไตล์สาวโสดสพายเป้ ซึ่งเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่เน้นที่จะใช้พื้นที่มาก มีเพียงที่นอน ซึ่งเป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตสาวโสดที่จะต้องใช้ชีวิตแบบนี้ 1 คืน ครั้งแรกที่จอดรถ Holtel ที่นี่ชิคมาก มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะเลย ที่สำคัญลักษณะที่พักเป็นแบบทาวเฮ้าที่ตกแต่งเน้นสีสรร ชั้นล่างจะเป็น shop ขายเสื้อผ้าอันนี้พวกเราชอบมาก เพราะสินค้าเป็นแบบทำมือสวยมาก จากนั้นเราได้เช็คอิน ที่พักที่นี่ราคาน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม อิ อิ อิ -350 บาทต่อคน เราได้กุญแจห้องพักเจ้าของ Holtel พี่หน่อย หรืออาจารย์หน่อย พาเราเดินสำรวจ และพาไปห้องพักของพวกเรา เปิดประตูพวกเราก็จับจองเตียงกันเตียงที่เราพักคืนนี้เป็นเตียง 2 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นมีไฟหัวเตียง ปลั๊กไฟ และผ้าเช็ดตัว สะดวกมาก ห้องน้ำรวมก็สะอาดที่สำคัญเพื่อนข้างห้องเป็นหนุ่มญี่ปุ่น หน้าตาดีซะด้วย เราวางแผนในการเดินในค่ำคืนนี้แบบชิว ชิว ที่นี่มีร้านอาหารที่โดงดังเยอะมาก อามิเช่นร้านมังกี่ ร้านสลัดแลนด์ ที่นี่ใกล้ห้างมายา ของคุณตัน ห้างใหญ่มาก เราไม่ได้ใช้เวลากับค่ำคืนนี่มากนักเพราะพรุ่งนี้เช้าพวกเราออกเดินทางจาก Holtel ตังแต่ 6.30 เพื่อเช็คอินตั๋ว ก่อนเวลาเดินทาง 8 โมงเช้า
วันที่ สี่
ตั้งนาฬิกาปลุก 5.30 เพื่อให้ทันเวลารถรับ จากนั้นเราก็เดินทางไปเตรียยมตัวที่สนาบินนานาชาติเชียงใหม่ ระหว่างทางเราก็ได้นึกถึงวันแรกที่มา รู้สึกประทับใจทริปนี่มาก แอบอมยิ่ม ด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพลัง เหมือนเดิมเราจะกลับระยองโดยได้สายการบินแอร์เอเชียร์ ซึ่งไม่มีดีเลย์ ออกตามกำหนด 8 โมงเช้าถึงสนามบินอู่๋ตะเภาในเวลาเพียง 45 นาที
ทริปนี่เลยไม่อยากเก็บความสุขไว้คนเดียว จึงอยากจะเรียบเรียงความสุขแบ่งปันประสบการณ์ในครั้งนี่ผ่านเป็นอักษร ที่ไม่ค่อยเก่งมากเหมือนจะยาก แต่จะพยายามเขียนในความรู้สึกของตัวเองมากที่สุด ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม นะคะ ทริป หน้ามีอีกแน่นอน ฉันรักเธอนะ We love traveling ความรักอยู่รอบตัวเราและควรแบ่งปันความรักด้วยการแชร์ประสบการณ์ อยากให้ทุกคนลุกขึ้นมามีความสุขเหมือนอย่างที่อี๊ดมีแต่ในแบบฉบับของตัวคุณเองนะค
สรุป ค่าใช้จ่าย
ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ 1,800 บาท
ค่าเช่ารถหาร 2 คนละ 1,200 บาท 2,400 บาท
ค่าที่พักคืนแรกคนละ 1,250 บาท รวมอาหารเช้า และ อาหารเย็น ที่เดอะไจเอ้นท์เชียงใหม่
ค่าที่พักคืนที่ 2 บ้านแม่กำปอง คนละ 500 บาท รวมอาหารเช้า
คืนที่พักคืนที่ 3 คนละ 350 บาท
ค่าอาหารตลอดทริป คนละ 650 บาท
ค่าน้ำมันหารคนละ 500 บาท
ค่ารถในระหว่างอยู่บนเขา คนละ 400 บาท
ค่ารถเท็กชี่กลับสนามบินเชียงใหมา คนละ 100 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นจากระยอง เพียง 6,750 เวลา 3 คืน 4 วัน
by …..is am are