ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป “ยูโร 2016” รอบคัดเลือก ได้เดินทางมาถึงช่วงท้าย ซึ่งในปีนี้ได้มีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น หลังจากที่ ไอซ์แลนด์ ชาติเล็กได้สร้างปรากฏการณ์ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
แต่อะไรคือสิ่งที่ทำให้ชาติเล็กจากดินแดนอันหนาวเย็นผงาดขึ้นมาถึงจุดนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเคยถูกมองว่าเป็นเพียงทีมรองบ่อน จุดเก็บแต้มของบรรดายักษ์ใหญ่
รู้จัก “ไอซ์แลนด์” ดินแดนน้ำแข็ง
ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องลูกหนังเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับ ไอซ์แลนด์ ประเทศที่อ่านออกเสียงคล้ายกับ ไอร์แลนด์ ระดับสะกดผิด เรียกเพี้ยน ชีวิตเปลี่ยน และยังมีอีกหลายท่านที่จำสับสนกับ ไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งตามจริงแล้วทั้งสามประเทศนี้ เป็นคนละประเทศกัน และแยกจากกันโดยอิสระ
“ไอซ์แลนด์” มีชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า “สาธารณรัฐไอซ์แลนด์” เป็นประเทศในยุโรปเหนือ ลักษณะประเทศเป็นเกาะอยู่ใต้เส้นอาร์กติกเซอร์เคิล ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะกรีนแลนด์ ทางตะวันตกของนอร์เวย์ และทางทิศเหนือของสกอตแลนด์ มีเมืองหลวงคือเรคยาวิก โดย ไอซ์แลนด์ เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศนอร์ดิก อันประกอบด้วย เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, นอร์เวย์ และ สวีเดน จนถึงดินแดงในการปกครองตัวเองของประเทศเหล่านั้น อย่าง กรีนแลนด์,หมู่เกาะแฟโร และ หมู่เกาะโอลันด์
ไอซ์แลนด์ มีพื้นที่ประเทศทั้งหมด 102,775 ตารางกิโลเมตร ซึ่งนับว่าเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับ ประเทศไทย ที่มีพื้นที่ 513,120 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรตามการประมาณค่าในปี 2015 อยู่ที่ 329,100 คน อยู่กับแบบสบายๆ ไม่แออัด
ระบบการปกครองที่ใช้เป็นระบบ ประชาธิปไตยระบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีคนปัจจุบันชื่อว่า โอลาเฟอร์ รักนาร์ กริมซอน วัย 72 ปี ซึ่งทำหน้าที่มาแล้วถึง 5 สมัย มี ซิกมุนเดอร์ เดวิด กุนน์ลอจส์สัน วัย 40 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีโดยเข้ามาทำหน้าที่ในปี 2013 ใช้ระบบสกุลเงิน โครนาไอซ์แลนด์ (ISK) และมีภาษาที่ใช้เป็นของตัวเอง
ครั้งหนึ่ง องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เคยระบุว่า ไอซ์แลนด์ เป็นประเทศที่พัฒนามากที่สุดในโลก และเคยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความมั่งคั่งต่อประชากรมากที่สุดในโลก และยังเป็นประเทศที่มีระบบสวัสดิการสังคมดีเยี่ยม จึงเป็นอีกหนึ่งประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ที่มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวสูงมาก โดยมีตัวชี้วัดเป็นสถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงที่ต่ำและมีระดับการเคารพสิทธิมนุษยชนสูง
ภูมิอากาศใน ไอซ์แลนด์ เป็นแบบภาคพื้นสมุทรกึ่งอาร์กติก อุณหภูมิเฉลี่ยที่เมืองเรคยาวิก ในเดือนมกราคมอยู่ที่ประมาณ 0 องศาเซลเซียส ขณะที่เดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 11 องศาเซลเซียส ช่วงที่อากาศอบอุ่นที่สุดในฤดูร้อน อุณหภูมิประมาณ 20-25 องศาเซลเซียส
ฤดูกาลท่องเที่ยวของไอซ์แลนด์คล้ายประเทศในเขตอาร์กติกและสแกนดิเนเวีย คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่อากาศไม่หนาวจัด และไม่มืดมิดเท่าฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน
แสงเหนือ หรือ ออโรรา ปรากฏการณ์ที่ผู้ไปเยือนอย่างสัมผัส
แต่ช่วงที่มีโอกาสจะได้เห็น แสงเหนือ หรือ ออโรรา (Aurora) และนั่งสุนัขลากเลื่อน หรือทำกิจกรรมบนลานน้ำแข็งก็คือ ฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึง ธันวาคม แต่ถ้าอยากจะให้สนุกก็ควรเลือกเวลาที่อากาศเริ่มอุ่นลงบ้างซึ่งก็คือช่วงเดือน มีนาคม ถึง เมษายน
กุนซือเปลี่ยน ไม้ประดับ สู่ ม้ามืด
หลังจากที่ได้รู้จักข้อมูลทั่วไปของไอซ์แลนด์กันไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะกลับเข้าสู่เป้าหมายหลักที่ทำให้เราต้องมารู้จักประเทศเล็กๆ แห่งนี้ ที่จากเคยเป็นเพียงทีมไม้ประดับ สู่การผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ไอซ์แลนด์ ปรากฏการณ์ลูกหนังใน ยูโร 2016
สมาคมฟุตบอลไอซ์แลนด์ (เคเอสไอ) ก่อตั้งและได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ในปี 1974 ก่อนจะมาเข้าเป็นสมาชิกของ สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ในอีก 20 ปี ต่อมา โดยได้มีส่วนร่วมกับการแข่งขันฟุตบอลโลกอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1958 ที่ สวีเดน รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ขณะที่ในการแข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ได้เข้าร่วมอย่างเป็นทางการหลังมีการก่อตั้งสมาคมในปี 1976 ซึ่งจัดแข่งรอบสุดท้ายที่ ยูโกสลาเวีย
แต่ด้วยสาเหตุที่เป็นประเทศเล็กๆ บวกกับสภาพอากาศหนาวเย็นมีลมแรงไม่เหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ อย่างเช่นการเล่นกีฬาฟุตบอล ทำให้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาวงการลูกหนังของไอซ์แลนด์ไม่ได้พัฒนาไปไกลมากนัก ขณะที่ในทัวร์นาเมนต์ระดับประเทศก็มีบทบาทเป็นเพียง “ไม้ประดับ” หรือที่สื่อยุโรปเรียกว่าเป็น “Minnows” ทีมปลาซิวปลาสร้อยประจำการแข่งขัน
จนกระทั่งการมาถึงของ “ลาร์ส ลาเกอร์บัค” โค้ชชาวสวีดิชในปี 2011 “ยักษ์น้ำแข็ง” ก็เกือบประสบความสำเร็จใน ศึกฟุตบอลโลกปี 2014 ที่ บราซิล รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ หลังคว้าอันดับที่ 2 ของกลุ่มอี ในศึกรอบคัดเลือก จากการลงเตะ 10 นัด ชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 3 มี 17 คะแนน ได้เข้าไป เพลย์ออฟ คว้าตั๋วเข้าไปเล่นรอบสุดท้าย โดยพบกับ โครเอเชีย อันดับ 2 ของกลุ่มเอ
ลาร์ส ลาเกอร์บัค ผู้เปลี่ยนไม้ประดับเป็นม้ามืด
ทว่าผลปรากฏว่ากลายเป็น “ขุนพลตราหมากรุก” ที่จัดการเปิดบ้านเอาชนะ ไอซ์แลนด์ ในเกมนัดที่ 2 หลังจากเสมอในเกมแรก 0-0 ไปด้วยสกอร์ 2-0 จากผลงานของ มาริโอ มานด์ซูคิช และ ดาริยอ เซอร์นา ถึงแม้ว่าจะเป็นการจอดป้ายที่รอบคัดเลือกเหมือนทุกครั้ง แต่นี้ก็เหมือนเป็นสัญญานที่แสดงให้แห่งถึงการยกระดับของวงการฟุตบอลแดนน้ำแข็ง
จนเมื่อมาถึงทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป “ยูโร 2016” ไอซ์แลนด์ ก็ได้มีการเลื่อนขั้น “ไฮมีร์ ฮอลล์กริมส์สัน” จากผู้ช่วยขึ้นมาทำงานเป็นกุนซือร่วม เพื่อให้เรียนรู้งานเตรียมสานต่อหน้าที่ของ ลาเกอร์บัค ที่จะอำลาทีมหลังจบทัวร์นาเมนต์นี้
จากการผนึกกำลังของทั้ง 2 ผู้จัดการทีมก็ได้สร้างประวัติศาสตร์พา ไอซ์แลนด์ คว้าตั๋วเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย ที่ประเทศฝรั่งเศส ได้สำเร็จ แถมยังมีลุ้นเป็นแชมป์กลุ่ม เอ ที่มีบรรดาทีมแข็งอย่าง เนเธอร์แลนด์ , สาธารณรัฐเช็ก , ตุรกี , ลัตเวีย และ คาซัคสถาน เป็นสมาชิก
โดยผลงานการลงสนามทั้ง 8 นัด ไอซ์แลนด์ เก็บไปได้ถึง 19 คะแนน ชนะ 6 เสมอ 1 แพ้ 1 โดยเกมที่ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดง ต้องยกให้การเอาชนะ “อัศวินสีส้ม” เนเธอร์แลนด์ ดีกรีอันดับ 3 เวิลด์คัพปีล่าสุด ได้ทั้งเกมเหย้าและเยือน โดยไม่เสียประตู
เนเธอร์แลนด์ ปะทะแข้งกับ ไอซ์แลนด์
เกมแรกเกิดขึ้นที่สนามเลาการ์ดัลสโวลลูร์ ในวันที่ 10 ตุลาคม 2014 ไอซ์แลนด์ เป็นฝ่ายจัดการเปิดบ้านบดเอาชนะแข้งดัตช์ไปด้วยสกอร์ 2-0 จากการเหมาทำประตูของ กิลฟี ซิกูร์ดส์สัน และในเลกที่ 2 วันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา ก็เป็นแข้งสวอนซี คนเดิมที่ย้ำแค้นยิงพา ไอซ์แลนด์ บุกไปหักกังหันลมที่สนาม อัมสเตอร์ดัม อารีนา ด้วยสกอร์ 1-0
ในวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา ไอซ์แลนด์ ก็ได้ฉลองการเข้ารอบสุดท้ายอย่างเป็นทางการต่อหน้ากองเชียร์ของตัวเองด้วยเสมอกับ คาซัคสถาน 0-0
ทำให้ภารกิจของยักษ์น้ำแข็งในตอนนี้ คือแค่การไปวัดแชมป์กลุ่มในอีก 2 นัดสุดท้าย กับ ลัตเวีย ที่จะลงเล่นในบ้านวันที่ 10 ตุลาคม ต่อด้วยการออกไปเยือน ตุรกี ในอีก 3 วันให้หลัง
ขณะที่อันดับโลกในตอนนี้ ไอซ์แลนด์ ขึ้นมารั้งอันดับ 23 ของโลก ดีกว่า ฝรั่งเศส, สหรัฐอเมริกา หรือ รัสเซีย เสียด้วยซ้ำ
ในการให้สัมภาษณ์ของ ลาร์ส ลาเกอร์บัค หลังพาทีมผ่านเข้ารอบสุดท้าย ได้กล่าวว่า “มันเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ในการพา สวีเดน เข้าไปเล่นในรายการนี้ แต่การนำ ไอซ์แลนด์ ไปยูโร 2016 มันมีความพิเศษยิ่งกว่า ผมภูมิใจกับทีมมากๆ และผมก็สามารถรับรู้ได้ถึงความภูมิใจและความสุขของคนในประเทศ”
“แต่ผมไม่ขออ้างตัวว่าเป็นฮีโร่ของชาวไอซ์แลนด์นะ ต้องคนอย่าง แมนเดลา และ มาร์ติน ลูเธอร์คิง สิที่ควรจะเป็นวีรบุรุษ ผมเป็นแค่โค้ชทีมฟุตบอล นี้คือกลุ่มของนักเตะที่ยอดเยี่ยมและพวกเขาก็สมควรได้ไปเล่นยูโร มันเป็นการทำงานร่วมกันที่มหัศจรรย์ เราผ่านมาได้และยังเหลือเกมอีก 2 นัด มันเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม”
ลาร์ส ลาเกอร์บัค ผู้เปลี่ยนความผิดหวังสู่ความสำเร็จ
ขณะที่ ไฮมีร์ ฮอลล์กริมส์สัน ก็ได้กล่าวเสริมว่า “ตอนที่ผมกับลาร์สเริ่มทำงานด้วยกัน ลาร์ส บอกกับผมว่าทีมนี้แข็งแกร่งพอจะไปเล่นฟุตบอลโลกที่บราซิล ผมคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว แต่เมื่อเร็วๆ นี้ผมก็เริ่มเชื่อแล้วละว่า เราเกือบจะได้ไปบราซิลจริงๆ เราแพ้ให้กับ โครเอเชีย ไปอย่างน่ายกย่อง นักเตะเองก็เห็นแล้วว่าเรามีดีพอ”
ขุมกำลังสำคัญ
สำหรับจุดแข็งของ ไอซ์แลนด์ ยุคนี้อยู่ที่การขับเคลื่อนเกมแดนกลางของ 2 นักเตะที่ได้ค้าแข้งในลีกอังกฤษ นำโดย อารอน ไอนาร์ กุนนาร์สสัน กัปตันทีมจากสโมสร คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ สโมสรในลีกเดอะ แชมเปียนชิพ ที่มีประสบการณ์รับใช้ทีมชาติมาตั้งแต่ปี 2008 ลงเล่นไปแล้ว 53 นัด ยิงไป 2 ประตู และ กิลฟี ซิกูร์ดส์สัน ดาวเตะ สวอนซี ซิตี้ ที่เป็นคนถลุงประตูเนเธอร์แลนด์ทั้ง เหย้า-เยือน
นอกจากนี้ เกมรุกของ ไอซ์แลนด์ ยังมี โคลเบนน์ ซิกธอร์สสัน กองหน้าจาก เอฟซี น็องต์ สโมรในประเทศฝรั่งเศส และ อัลเฟรด ฟินน์โบกาสเซน ที่ปัจจุบันเล่นให้ โอลิมเปียกอส แบบยืมตัว ที่ถือเป็นทีเด็ดในการล่าตาข่าย ทำให้ขุมพลังโดยรวมของยักษ์น้ำแข็งตอนนี้อยู่ในช่วงที่กำลังสุกงอม
จากนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าทัพลูกหนังจากดินแดนอันหนาวเย็นจะมีดีพอสร้างปรากฏการณ์ “ออโรรา” อันน่าประทับใจในการแข่งขันรอบสุดท้ายได้หรือไม่ หรือจะเพียง “ดอกไม้ไฟ” ที่สร้างสีสันให้กับการแข่งขันรอบสุดท้ายเท่านั้น
สิ่งที่แฟนๆอย่างรู้ว่า ไอซ์แลนด์ จะไปได้ไกลแค่ไหน?
เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับ “ไอซ์แลนด์”
– ไอซ์แลนด์ มีรากฐานวัฒนธรรมมากจากสแกนดิเนเวียโบราณ (นอร์ส) และมีชื่อเสียงมากเกี่ยวกับวรรณกรรมในยุคของการตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะ เอ็ดดา และ ซากา ที่ถูกเขียนขึ้นมาในช่วงแห่งความเจริญที่เรียกว่า สมัยกลางยุครุ่งโรจน์ (High Middle Ages) และยุคกลางตอนปลาย (Late Middle Ages)
– ไอซ์แลนด์ มี ภูเขาไฟ มากกว่า 100 แห่งและหลายแห่งยังคุกรุ่นอยู่ เนื่องจากเป็นแผ่นดินใหม่ ที่ตั้งอยู่บน “จุดร้อน” และ แนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทรแอตแลนติก
– ส่วนประกอบหลักในอาหารของไอซ์แลนด์คือ ปลา, เนื้อแกะ และผลิตภัณฑ์นม โดยมีชุดอาหารแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า “ทอร์รามาทือร์” ซึ่งประกอบด้วยอาหารหลากชนิด เช่น เนื้อแกะเค็มรมควัน, ปลาแห้ง และขนมปังต่างๆ แต่ที่ฮือฮาที่สุดต้องยกให้ “ฉลามเน่า” ที่มาจากการหมักเนื้อปลาฉลามกรีนแลนด์ในทรายหรือกรวดเป็นเวลา 6-12 สัปดาห์
– ไอซ์แลนด์ เป็นประเทศที่รักษ์โลกอยู่ในระดับแถวหน้า เพราะเป็นประเทศที่สามารถจัดการควบคุมปัญหาด้านมลพิษได้อย่างยอดเยี่ยม
– สถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปในอันดับต้นๆ ต้องยกให้การเยี่ยมชมแหล่ง น้ำพุร้อน (Geysir) โดยที่ขึ้นชื่อที่สุดอยู่ในหุบเขาฮัวกาดาลู ซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศ และ บลูลากูน ที่ตั้งอยู่ในเขตลาวากรินดาวิค ซึ่งสถานที่หลังเปิดให้นักท่องเที่ยวลงไปแช่ได้
– ทีมชาติ ไอซ์แลนด์ ลงแข่งอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรก ในปี 1930 โดยเป็นการบุกไปชนะ หมู่เกาะแฟโร 1-0 ขณะที่เกมทางการนัดแรกเป็นการเปิดบ้านเจอกับ เดนมาร์ก ในปี 1985 และเป็น ไอซ์แลนด์ ที่พ่าย 0-3
– ชัยชนะครั้งใหญ่ที่สุดของ ไอซ์แลนด์ ในเกมไม่เป็นทางการเกิดขึ้นในปี 1985 เป็นการชนะ หมู่เกาะแฟโร 9-0 ส่วนเกมทางการเกิดขึ้นในปี 2000 ชนะ มอลตา 5-0
– ความพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดอยู่ในปี 1967 โดยบุกไปแพ้ เดนมาร์ก 2-14.
Credit : http://www.thairath.co.th/