ขุนพล “ช้างศึก” ทีมชาติไทย กลับบ้านอย่างแฮปปี้ หลังบุกไประเบิด “ฟอร์มเทพ” ขยี้เวียดนาม ในศึกคัดบอลโลก เอเชีย ถึงถิ่น 3-0 “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ ไม่ประมาท บอกเหลืออีก 2 เกมต้องเต็มที่ เพื่อการันตีการเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายแบบชัวร์ๆ โดยเฉพาะนัดหน้าเปิดบ้านรับ ไต้หวัน วันที่ 12 พ.ย.ต้องวางแผนเตรียมทีมให้ดีเพื่อเก็บชัยชนะให้ได้ ขณะที่ยอดอัดฉีดล่าสุดพุ่งไปถึง 40 ล้านแล้ว ส่วนเว็บไซต์เอเอฟซียกย่องลูกยิงประตูสุดท้ายของทีมชาติไทยต่อบอลสวยงามประดุจบาร์เซโลนา ด้าน “จูเนียร์” วัชร วัชรพล สุดปลื้มหลังเรตติ้งถ่ายทอดสดเกมนี้ของ “ไทยรัฐทีวี” ทะลุเพดานสูงสุดเท่าที่เคยมีมา
หลังจากที่ขุนพลนักเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ได้สร้างความสุขความสมหวังให้กับแฟนฟุตบอลชาวไทยทั้งชาติ ด้วยการบุกไประเบิดฟอร์มเทพ ไล่ถล่มเอาชนะคู่ปรับสำคัญ ทีมชาติเวียดนามขาดลอยถึงกรุงฮานอย 3-0 นำโด่งเป็นจ่าฝูงของกลุ่มเอฟ ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่ 2 “นัดที่ 4” โอกาสเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายสดใส
ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 ต.ค. “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ขวัญใจมหาชน พร้อมด้วยพลพรรคช้างศึก ยกทัพบินกลับถึงเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินเอฟดี 643 มี เพ็ชร ชั้นเจริญ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมือง รวมถึง พ.อ.(พิเศษ) วรุวฒิ ทองศรีงาม เลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ไปต้อนรับ พร้อมด้วยสื่อมวลชน และแฟนฟุตบอลบอลชาวไทยที่ไปรอต้อนรับกันเป็นจำนวนมาก
“ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮดโค้ชทีมชาติไทย กล่าวถึงแนวทางในการเตรียมทีมสำหรับการแข่งขันในนัดต่อไปที่ทีมชาติไทยจะเปิดบ้านรับการมาเยือนของไต้หวัน ในวันที่ 12 พ.ย. ว่า เรามีเวลาต่อจากนี้อีกประมาณ 1 เดือน คงต้องเข้าปรึกษากับนายกสมาคมฯ ผู้จัดการทีม เลขาธิการสมาคม ว่าจะมีแนวทางเป็นอย่างไรได้บ้าง ขอเวลาในการเก็บตัว 1-2 สัปดาห์พอจะได้หรือไม่
“ผมเข้าใจว่านักเตะต่างก็มีภารกิจต้องรับใช้ต้นสังกัดในช่วงท้ายของฤดูกาล ต้องดูอีกทีว่าจะได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนตัวไม่อยากจะบอกว่าเราเข้ารอบแล้ว เพราะยังเหลืออีก 2 เกม ซึ่งมีความสำคัญอยู่ เรายังต้องทำงานหนักต่อไป จากนี้นักเตะก็จะกลับไปรับใช้สโมสร อยากฝากให้นักเตะทุกคนดูแลร่างกายให้ดีด้วยในช่วงนี้” ซิโก้กล่าว
ทางด้าน “บิ๊กน้อย” พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ ผู้จัดการทีมชาติไทย ออกมากล่าวถึงผลงานของลูกทีมว่า บรรยากาศการแข่งขันที่เวียดนามถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่ทำให้เรามีคะแนนนำในกลุ่ม มีโอกาสสูงที่เราจะได้เข้าสู่รอบต่อไป ถือว่าเป็นการคืนความสุขให้ประชาชนอย่างแท้จริง ต้องขอชื่นชมทีมงานผู้ฝึกสอน นักเตะ ทุกคนที่ทำงานหนักกันมาโดยตลอด และตั้งใจมุ่งมั่นในการเล่นอย่างเต็มที่ จนทำให้เราประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ขอขอบคุณแฟนบอลชาวไทยทุกคน ทั้งที่เดินทางไปเชียร์ที่เวียดนามกว่า 2,000 คน และที่ให้กำลังใจอยู่ที่ประเทศไทย อยากเรียนว่า รัฐบาลพร้อมเต็มที่ที่จะให้การสนับสนุนฟุตบอลทีมชาติไทย เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายในการก้าวไปเล่นฟุตบอลโลกให้ได้
ขณะที่ “ผู้พันหลอ” พ.อ.(พิเศษ) วรวุฒิ ทองศรีงาม เลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ออกมากล่าวถึงประเด็นเรื่องเงินอัดฉีด ที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯประกาศไปก่อนหน้านี้ว่าจะให้ประตูละ 1 ล้าน นัดชนะเวียดนาม ทีมชาติไทยซัดไป 3 ประตู ยอดรวม 3 ล้านบาทว่า เรื่องเงินอัดฉีดที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ว่าจะให้ประตูละหนึ่งล้านนั้น ตอนนี้กำลังจัดการในเรื่องนี้อยู่ ยืนยันว่าจะจ่ายให้นักเตะตามที่สัญญาไว้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน ก็ต้องถือเป็นข่าวดีหลังจากที่ก่อนหน้านี้ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประกาศไปว่าหากทีมชาติไทยสามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 12 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ สมาคมจะอัดฉีดนักเตะเป็นเงิน 30 ล้านบาท ล่าสุด 2 หน่วยงานเอกชนยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐทีวี และโตโยต้า ประกาศร่วมมือกันมอบเงินให้ทีมชาติไทยอีก 10 ล้านบาท หากสามารถเข้าไปเล่นรอบ 12 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ สรุปจนถึงตอนนี้หากทีมชาติไทยสามารถตีตั๋วเข้าไปเล่นในรอบ 12 ทีมสุดท้ายได้ รับไปทันทีอย่างต่ำ 40 ล้านบาท
ส่วนหนังสือพิมพ์กีฬาในประเทศเวียดนาม ยอมรับผลงานของชาติตัวเองหลังจากเปิดบ้านพ่าย ทีมชาติไทย 0-3 ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โดยก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้นสื่อมวลชนเวียดนาม ต่างคาดหวังว่าชาติของพวกเขาจะเป็นฝ่ายเก็บชัยชนะเหนือช้างศึกมาครอง ถึงขั้นที่ขึ้นพาดหัวใหญ่ในหนังสือพิมพ์ว่า “ล้างแค้นไทยแลนด์” หลังบุกไปพ่ายมาก่อนในเกมแรก 1-0
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดเวียดนามกลับถูกย้ำแค้นแบบไม่เป็นท่า เมื่อปราชัยต่อทีมชาติไทยไปถึง 0-3 และหนังสือพิมพ์กีฬาในประเทศแบบทุกฉบับ ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ มีบางฉบับถึงกับเขียนข้อความพาดหัวว่า “ก้มหัว” พร้อมภาพที่สื่อออกมาได้อย่างชัดเจน ขณะที่ในโลกโซเชียลบรรดาแฟนบอลชาวเหงียนดูจะหมดความอดทนกับการทำหน้าที่ ในตำแหน่งเฮดโค้ชของโทชิยะ มิอูระ กุนซือชาวญี่ปุ่นของเวียดนาม ถึงกับระดมกันออกมาโพสต์ไล่กุนซือซามูไรให้ออกจากตำแหน่งกันอย่างร้อนระอุ
ขณะที่เว็บไซต์ของสหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือ “เอเอฟซี” โพสต์ประตูปิดท้ายสุดคลาสสิกของทีมชาติไทยแมตช์บุกถลุงเวียดนามถึงถิ่น 3-0 ในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ก่อนที่เว็บไซต์ดังจากอังกฤษ อย่าง 101greatgoals.com จะแชร์ประตูดังกล่าวสู่สายตาแฟนบอลทั่วโลกอีกทอดหนึ่ง ประตูเกิดขึ้นในนาทีที่ 70 ของเกมแข่งขัน เมื่อขุนพลช้างศึกโชว์ทีมเวิร์ก ต่อบอลสั้นอย่างแม่นยำชนิดผู้เล่นเวียดนามหาบอลไม่เจอถึง 16 ครั้ง ก่อนสุดท้าย ปกเกล้า อนันต์ จะตอกส้นให้ธีราทร บุญมาทัน กัปตันทีม ดึงจังหวะหลอกแนวรับคู่แข่งก่อนหวดด้วยซ้ายบอลพุ่งเสียบตาข่ายแบบหมดจด เอเอฟซียกย่องการเล่นจังหวะนี้ของทีมชาติไทย นำไปเปรียบเทียบกับสไตล์การเล่นของบาร์เซโลนาเลยทีเดียว เห็นได้จากการตั้งชื่อคลิปวีดิโอที่โพสต์ลงยูทูบว่า มหัศจรรย์! การเล่น “ติกิ-ตาก้า” โดยทีมชาติไทย (FANTASTIC!!! Tiki-Taka play by Thailand)
นายวัชร วัชรพล ผู้บริหารไทยรัฐทีวี เปิดเผยถึงกระแสการรับชมการถ่ายทอดสดเกมการฟาดแข้งฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย แมตช์สำคัญที่ทีมชาติไทยบุกไปถล่มทีมชาติเวียดนาม 3-0 ถึงกรุงฮานอย ผ่านไทยรัฐทีวีซึ่งเรตติ้งกระฉูดทะลุจอ ว่า ต้องถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่น่ายินดีของไทยรัฐทีวี ที่ทำสถิติตัวเลขเรตติ้งผู้ชมสูงสุดทะลุไปกว่า 12 และบางช่วงปีนขึ้นไปถึงเรตติ้ง 15 ถือเป็นเรตติ้งสูงสุดของสถานีตั้งแต่เคยมีมา ขณะเดียวกัน ยังทำสถิติอื่นๆ ขึ้นมาอีกมากมาย โดยเฉพาะยอดผู้ชมในยูทูบ (Youtube) สูงสุดในระดับประเทศเลยทีเดียว
ความสำเร็จและกระแสตอบรับที่เกิดขึ้น บิ๊กบอสไทยรัฐทีวีเผยว่า ถือเป็นกำลังใจชั้นดีที่ทำให้เราตั้งเป้าที่จะบุกตะลุยการถ่ายทอดสดกีฬาในระดับชาติให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกีฬามหาชน ที่คนไทยนิยมในปีหน้า ทั้งฟุตบอล วอลเลย์บอล มวย จะคัดสรรมาถ่ายทอดสดให้แฟนๆไทยรัฐทีวีได้ชมกันอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ “จูเนียร์” วัชร ยังเผยด้วยว่า สำหรับทีมชาติไทยชุดใหญ่ ที่กำลังสร้างความสำเร็จและความสุขให้กับแฟนลูกหนังชาวไทยทั่วประเทศอยู่ในเวลานี้ ความจริงแล้วกว่าครึ่งทีมเป็นผลพวงมาจากโครงการเยาวชนที่มูลนิธิไทยรัฐเคยไปช่วยดูแลให้กับสมาคมฟุตบอลฯ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ตนรับหน้าที่เป็นประธานโครงการ พร้อมทั้งนั่งเก้าอี้ผู้จัดการทีมชาติไทยในรุ่นอายุระหว่าง 12-14 ปี เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ ที่นักเตะเหล่านี้เติบโตขึ้นมาเป็นกำลังหลักให้ทีมชาติ ดังนั้นมาถึงวันนี้ มีความคิดว่า อยากจะหวนกลับไปสร้างฟุตบอลเยาวชนในลักษณะนั้นอีกครั้ง โดยอาจจะให้เป็นกิจกรรม CSR ของบริษัท เพราะเชื่อว่าถ้าเราสร้างพื้นฐานเยาวชนให้แข็งแกร่ง ต่อไปอนาคตพวกเขาก็จะเติบใหญ่ออกดอกออกผลขึ้นมาเป็นนักเตะระดับชาติดังเช่นที่รุ่นพี่ได้ทำให้เห็นมาแล้ว เรื่องนี้คงต้องไปพูดคุยหารือกับสมาคมฟุตบอลฯและอาจจะเริ่มโครงการกันตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป
Credit : http://www.thairath.co.th/