การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ ใกล้ถึงบทอวสานเต็มทีแล้ว
ตอนนี้ผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศ และกำลังจะเตะนัดที่สองกัน โดยนัดแรกเป็น “ม้าลาย”ยูเวนตุส จากอิตาลี ที่ชนะ “ราชันชุดขาว”เรอัล มาดริด แชมป์เก่าจากสเปน 2-1 สถานการณ์ยังเปิดกว้างสำหรับทั้ง 2 ทีม
แต่อีกคู่ “เจ้าบุญทุ่ม”บาร์เซโลน่า จากสเปน เปิดบ้านถล่ม “เสือใต้”บาเยิร์น มิวนิค จากเยอรมนี 3-0….เรียกได้ว่าบาร์ซ่าก้าวขาข้างหนึ่งไปรอในรอบชิงชนะเลิศแล้ว
แถมช่วงนี้บาร์ซ่ากำลังเล่นด้วยความมั่นใจ ทำผลงานดีต่อเนื่องจนจ่อคว้าแชมป์ลา ลีกา ผิดกับบาเยิร์นที่มีปัญหานักเตะบาดเจ็บเพียบ และฟอร์มตกไม่ชนะติดกันมาหลายนัด
อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์โกลดอทคอมได้เผยข้อมูลที่คงทำให้แฟน “เสือใต้” ใจชื้นขึ้นมาบ้าง โดยรวบรวมตำนานพลิกสถานการณ์ของทีมที่เป็นรอง 3 ประตูหรือมากกว่า แล้วกลับมายิงตีเจ๊าหรือพลิกแซงได้อย่างเหลือเชื่อในรายการนี้ (ไม่นับรวมการเตะในรอบแบ่งกลุ่ม)
1.ในการแข่งขันรอบแรกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 1992-93 สตุ๊ตการ์ต จากเยอรมนี น่าจะเข้ารอบสบายๆหลังเปิดบ้านทุบลีดส์ จากอังกฤษ 3-0 แต่ขุนพล “ยูงทอง” ไม่ยอมตายง่ายๆ ดาวเตะผู้ล่วงลับอย่าง แกรี่ สปีด พร้อมเพื่อนร่วมทีม แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์, เอริก คันโตน่า และลี แชปแมน กดคนละลูกช่วยให้ทีมชนะในนัดต่อมา 4-1 ผมรวมจึงกลายเป็น 4-4 ซึ่งตามกฎประตูทีมเยือนแล้ว ลีดส์ยังตกรอบอยู่ดี
แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เมื่อมีการตรวจพบว่าในเกมนัดสอง สตุ๊ตการ์ตส่งผู้เล่นต่างชาติลงตัวจริง 2 คน แล้วดันพลาดเปลี่ยนตัวสำรองเป็นต่างชาติลงไปอีก 2 คน ทำให้มีแข้งต่างชาติในสนาม 4 คน ผิดกฎในสมัยนั้นซึ่งอนุญาตให้มีแข้งนอกอยู่ในสนามเพียง 3 คนเท่านั้น ทำให้ “ม้าขาว”โดนปรับแพ้เกมนี้ 0-3 ผลรวมจึงเท่ากัน 3-3 และต้องไปเตะนัดเพลย์ออฟที่บาร์เซโลน่า ประเทศสเปน
ปรากฏว่าลีดส์เป็นฝ่ายชนะในเกมรีเพลย์ 2-1 เขี่ยทีมดังจากเมืองเบียร์ตกรอบไปอย่างน่าเจ็บใจในที่สุด
2.เมื่อสมัยยูโรเปี้ยน คัพ 1958-59 “ราชันสีน้ำเงิน”ชาลเก้ จากเยอรมนี เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ของถ้วยใหญ่ยุโรปที่พลิกกลับมาเข้ารอบหลังแพ้เกมแรก 3 ประตู โดยในรอบคัดเลือกที่เจอกับเคบี จากเดนมาร์ก(ซึ่งกลายร่างเป็นเอฟซี โคเปนเฮเก้น ในปัจจุบัน) เคบีเป็นฝ่ายเปิดบ้านชนะก่อน 3-0 แต่ชาลเก้ก็ไม่ยอมตายง่ายๆ เปิดรังถอนแค้นคืน 5-2 จึงต้องไปเตะเพลย์ออฟกัน(สมัยนั้นยังไม่มีการใช้กฎประตูทีมเยือน)
ในเกมเพลย์ออฟที่เมืองเอนเชเด้ ประเทศเนเธอร์แลนด์ “ราชันสีน้ำเงิน” เอาชนะไปได้ 3-1 พลิกกลับมาเข้ารอบได้อย่างเหลือเชื่อ
3.สาวก “หงส์แดง”ลิเวอร์พูล จากอังกฤษ ไม่มีทางลืมค่ำคืนรอบชิงชนะเลิศเมื่อฤดูกาล 2004-05 ที่อิสตันบูล ประเทศตุรกี ซึ่งทีมเป็นฝ่ายตามหลัง “ปีศาจแดงดำ”เอซี มิลาน จากอิตาลี ในครึ่งแรก 0-3 จนแฟนบอลหลายรายคงปิดทีวีเข้านอนเพราะคิดว่าจบแค่นี้
แต่ในครึ่งหลัง ด้วยลูกโหม่งของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ลูกยิงไกลของ วลาดิเมียร์ ซมิเชอร์ และจังหวะซ้ำจุดโทษของ ซาบี อลอนโซ่ จึงทำให้ลิเวอร์พูลตีเสมอ 3-3 และสกอร์เป็นเช่นนี้ไปจนจบ 120 นาที
และในการดวลจุดโทษ เจอร์ซี่ ดูเด็ก นายทวารลิเวอร์พูล สวมบทพระเอกด้วยลีลา “สปาเกตตี้ เลก” เซฟจุดโทษของ อันเดรีย ปิร์โล่ และอังเดร เชฟเชนโก้ ช่วยให้ทีมชนะในการดวลเป้า 3-2 ผงาดแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ชนิดที่โลกไม่ลืม
4.ยอดทีมอย่าง “ราชันชุดขาว”เรอัล มาดริด ก็เคยเป็นฝ่ายต้องไล่ตามชาวบ้านเหมือนกัน โดยในรอบสองของฤดูกาล 1975-76 มาดริดบุกพ่าย “แกะเขาเหล็ก”ดาร์บี้ จากอังกฤษ 1-4 แต่ยักษ์ใหญ่แดนกระทิงรายนี้ไม่ยอมสิ้นลายง่ายๆ โดยกลับมาชนะในบ้านตัวเองด้วยสกอร์ 4-1 เช่นกัน ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ ซึ่งเจ้าถิ่นยิงเพิ่มได้อีกเม็ด “ราชันชุดขาว” จึงชนะไปได้ในที่สุด 5-1 พลิกกลับมาเข้ารอบด้วยผลรวม 6-5
5.ศึกสายเลือดเมืองเบียร์ ดินาโม เบอร์ลิน จากเยอรมันตะวันออก เจอกับ “นกนางนวล”เบรเมน จากเยอรมันตะวันตก ในรอบแรกของการแข่งขันฤดูกาล 1988-89 ซึ่งเป็นดินาโม เบอร์ลิน เปิดบ้านชนะก่อน 3-0 แต่เบรเมนเหมือนไม่หวั่นกับผลที่ออกมา จัดการทบต้นทบดอกในบ้านตัวเองด้วยสกอร์ 5-0 เข้ารอบด้วยผลรวม 5-3 แบบสบายใจ
6.เป็นอีกครั้งที่ เอซี มิลาน ได้เปรียบเรื่องสกอร์แต่โดนตีคืนในเกมถัดมา เมื่อรอบก่อนรองชนะเลิศฤดูกาล 2003-04 “ปีศาจแดงดำ” ซึ่งเป็นแชมป์เก่า และเป็นทีมที่ใครก็ขยาดในเวลานั้น นำทัพโดย อังเดร เชฟเชนโก้, กาก้า, อันเดรีย ปิร์โล่, ฟิลิปโป้ อินซากี้ เจอกับลา คอรุนญ่า จากสเปน
นัดแรกมิลานเปิดบ้านถลุงคอรุนญ่ายับเยิน 4-1 กาก้าเหมาคนเดียว 2 ลูก ที่เหลือเป็นเชฟเชนโก้กับปิร์โล่ ส่วนคอรุนญ่าได้จาก วอลเตอร์ ปันดิอานี่ ซึ่งใครๆต่างมองว่า “ปีศาจแดงดำ” น่าผ่านเข้ารอบตัดเชือกแบบไร้ปัญหา
แต่ในนัดต่อมาที่บ้านคอรุนญ่า เจ้าถิ่นนำตั้งแต่นาที 5 จากปันดิอานี่ จากนั้นนาที 35 ฆวน คาร์ลอส บาเลรอน บวกเพิ่มอีกเม็ด นาที 44 สิ่งที่แฟนบอลเจ้าบ้านต้องการก็มาถึง จากฝีเท้าของ อัลเบิร์ต ลูเก้ ก่อนที่นาที 76 ฟราน กอนซาเลซ จะตอกฝาโลงให้คอรุนญ่าชนะ 4-0 พลิกเข้ารอบด้วยผลรวม 5-4
7.บาร์เซโลน่าต้องพึงระลึกไว้ว่าในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของตน ก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ไล่ตามจากสกอร์ขาดลอยมาก่อนเช่นกัน โดยในรอบรองชนะเลิศฤดูกาล 1985-86 “เจ้าบุญทุ่ม” ที่กำลังล่าแชมป์ใหญ่ยุโรปสมัยแรก บุกพ่ายโกเตบอร์ก จากสวีเดน 0-3 แต่ในนัดต่อมา อังเคล “ปิชี่” อลอนโซ่ ดาวยิงตัวเก่ง ตะบันแฮตทริกนาที 9, 63 และ 69 ช่วยให้บาร์ซ่าชนะคืนบ้าง 3-0 ผลรวมจึงเสมอกัน 3-3 ก่อนที่บาร์ซ่าจะชนะจุดโทษ 5-4
จากนั้น “เจ้าบุญทุ่ม” ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับสเตอัว บูคาเรสต์ ของโรมาเนีย ซึ่งเกมจบด้วยผล 0-0 แต่เป็นสเตอัวที่ชนะจุดโทษไปได้ 2-0 ทำให้บาร์ซ่ากินแห้วไม่ได้ประเดิมบัลลังก์เจ้ายุโรปในปีนั้น และที่น่าเจ็บใจขึ้นไปอีกก็คือ “ปิชี่” ฮีโร่จากรอบตัดเชือก เป็นหนึ่งในคนที่พลาดจุดโทษรอบชิงชนะเลิศด้วย…
แม้ว่าเรื่องราวเช่นนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ฟุตบอลลูกกลมๆ ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ
“เจ้าบุญทุ่ม” ถ้าประมาทก็อาจจะเสร็จ และถ้า “เสือใต้” ยังเดินหน้าสู้ ปาฏิหาริย์ก็อาจเกิดขึ้น
แล้วมาวัดกันค่ำคืนวันที่ 12 พ.ค. ว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่ควรเป็น…หรือหน้าประวัติศาสตร์อันเหลือเชื่อจะถูกบันทึกอีกหน
Credit : http://www.khaosod.co.th/