เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัคแห่งมาเลเซีย ประกาศปรับลดการใช้จ่ายภาครัฐในปี 2015 นี้ หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เป็นแห่งรายได้กว่าร้อยละ 30 ของรัฐบาลมาเลเซียประสบภาวะตกต่ำดิ่งเหวต่อเนื่อง แต่นาจิบยังยืนกราน มาเลเซียจะไม่เผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหม่  นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวระหว่างการพบกับผู้แทนนักลงทุนต่างประเทศในกรุงกัวลาลัมเปอร์ในคืนวันอังคาร(20 ม.ค.)โดยระบุ รัฐบาลมาเลเซียมีความจำเป็นต้องตัดลดการใช้จ่ายภาครัฐลงราว 2 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นวงเงินงบประมาณราว 5,500 ล้านริงกิต (ราว 49,560 ล้านบาท) ในปีนี้ จากยอดรวมงบประมาณ 273,900 ล้านริงกิต (ราว 2.46 ล้านล้านบาท) ที่ประกาศไว้เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี ผู้นำมาเลเซียยืนยันว่า การตัดลดการใช้จ่ายภาครัฐดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อโครงการด้านการลงทุนของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะต่างๆ แต่ยอมรับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจะมีผลกระทบต่อเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในปีนี้ ที่คาดว่าจะมีการเติบโตลดลงเหลือเพียง 4.5-5.5 เปอร์เซ็นต์จากที่เคยคาดการณ์ว่า …

(ภาพ: AFP) เมื่อวันที่ 21 ม.ค. กลุ่มเฝ้าระวังสิทธิมนุษยชนฮิวแมน ไรท์ วอช (เอชอาร์ดับเบิลยู) ในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ เผยแพร่รายงานว่าแรงงานไทย กว่า 25,000 คน ที่เดินทางไปทำงานด้านเกษตรกรรมในอิสราเอล กำลังประสบปัญหาละเมิดสิทธิ ต้องเผชิญความเสี่ยงต่อสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่ปลอดภัย ทำงานเกินเวลาที่กำหนด อีกทั้งยังได้รับเงินค่าตอบแทนต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งเอชอาร์ดับเบิลยูขอเรียกร้องให้รัฐบาลอิสราเอลเข้มงวดเรื่องการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานพร้อมทำการปราบปรามบรรดานายจ้างที่ละเมิดสิทธิฯ ทั้งนี้ รายงานความยาว 48 หน้า จัดทำขึ้นจากการสุ่มสัมภาษณ์แรงงานไทย 173 คน จากชุมชนเกษตรกรรม 10 แห่งทั่วอิสราเอล โดย ทุกคนต่างระบุในทำนองเดียวกัน ถูกนายจ้างบังคับให้ทำงานเกินเวลาและได้รับเงินเดือนต่ำกว่ามาตรฐาน ที่อยู่ที่จัดให้ก็ไม่เหมาะสม ทั้งยังถูกขัดขวางหากพยายามจะเปลี่ยนนายจ้าง ซึ่งรายงานฉบับนี้ยังสอดคล้องกับข้อมูลขององค์กรอิสระอิสราเอลเวิร์คเกอร์ส ฮอทไลน์ ที่ระบุว่าภาคเกษตรกรรมอิสราเอล กำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากการละเมิดกฎหมายแรงงานและสิทธิมนุษยชนของแรงงานต่างด้าว …

 เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ผลสำรวจล่าสุดซึ่งจัดทำโดยศูนย์วิจัย “พีว” ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ชี้ 63 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,504 คนทั่วสหรัฐฯ “เห็นด้วย” ที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ตัดสินใจรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์คิวบา หลังจากสหรัฐฯดำเนินมาตรการคว่ำบาตรคิวบาต่อเนื่องมานานเกินครึ่งศตวรรษนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1961 ผลสำรวจยังพบว่า นอกเหนือจากกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันจำนวน 63 เปอร์เซ็นต์ จะเห็นด้วยกับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลวอชิงตันและฮาวานาแล้ว กลุ่มตัวอย่าง 66 เปอร์เซ็นต์ยังระบุว่า พวกเขาปรารถนาจะเห็นรัฐบาลอเมริกันยกเลิกมาตรการปิดล้อมทางเศรษฐกิจในทุกรูปแบบต่อคิวบาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ผลสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ พบข้อมูลว่ามีกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่เชื่อว่า คิวบาจะกลายเป็น “ประเทศประชาธิปไตย” ในอนาคตอันใกล้นี้ ขณะที่กลุ่มตัวอย่าง 60 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่า คิวบาจะยังคงไม่หันหลังให้กับระบอบคอมมิวนิสต์ ถึงแม้จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับวอชิงตัน …