เครนพัง เพิ่มเป็น107ศพ ทับมัสยิด พายุซัดโค่น บาดเจ็บ238 ‘มุสลิมไทย’ ก็เจ็บด้วย2

EyWwB5WU57MYnKOuXq9HilYc06mtbj01yewp3CNRXyiJfMK0AMYkRR

สยองกลางนครเมกกะ ซาอุดีอาระเบีย เครนก่อสร้างขนาดยักษ์เจอ พายุฝนลมแรงจนโค่นใส่ แกรนด์มัสยิด ขณะกำลัง มีการเตรียมจัดประกอบพิธีฮัจญ์ ประจำปี 2558 คร่าชีวิตนักแสวงบุญอย่างน้อย 107 ราย บาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 238 ราย ด้านกระทรวงบัวแก้วแจงอย่างเป็นทางการ มีคนไทย 2 รายจากปัตตานีและยะลา ได้รับบาดเจ็บจากเหตุดังกล่าว พร้อมมีการตั้งกองอำนวยการเฉพาะกิจติดตามข้อมูล นำผู้บาดเจ็บมารักษาดูอาการแล้ว

ตลอดวันที่ 12 ก.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าเหตุเครนก่อสร้างขนาดใหญ่พังลงมาใส่ตัวอาคารมัสยิดฮะรอม หรือแกรนด์มัสยิด ในนครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่กำลังมีการเตรียมพื้นที่เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ประจำปี 2558 เมื่อช่วงดึกวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งขณะเกิดเหตุมีนักแสวงบุญชาวมุสลิมจากทั่วโลกเดินทางมาในพื้นที่ดังกล่าวอย่างล้นหลาม โดย พล.อ.สุไลมาน อัล-อามีร์ ผู้อำนวยการทั่วไป กระ-ทรวงป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนซาอุดีอาระเบีย เปิดเผยว่า ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 107 ราย บาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 238 ราย และทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับสัญชาติของเหยื่อ ซึ่งคาดว่าจะมาจากหลายประเทศ

ส่วนสาเหตุที่เครนล้มนั้น พล.อ.สุไลมานระบุว่า มาจากพายุฝนที่ทำให้เกิดลมพัดแรง มิใช่เกิดจากฟ้าผ่า และที่มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ก็มาจากตัวเครนที่พังใส่อาคาร ไม่ใช่จากฝูงชนตื่น ตระหนกเหยียบกันตายตามที่มีสื่อบางสำนักรายงานไว้ก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ความมั่นคงซาอุดีอาระเบียผู้ไม่ขอเปิดเผยนามกล่าวยืนยันว่า การประกอบพิธีฮัจญ์จะไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นวันที่ 21 ก.ย.ตามเดิม เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้มิได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวง และการซ่อมแซมตัวอาคารมัสยิดคงใช้เวลาเพียง 2-3 วัน

เบื้องต้นสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอ ของทางการอิหร่านเผยว่า พบผู้จาริกแสวงบุญชาวอิหร่าน 15 คน ได้รับบาดเจ็บ ด้านนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แห่งอินเดีย รวมถึงนายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน แห่งอังกฤษ ได้ส่งข้อความผ่านสื่อออนไลน์อย่างทวิตเตอร์ แสดงความเสียใจต่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ทั้งครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บก็ขอให้หายโดยเร็ว

ด้านเจ้าชายคาลิด อัล-ไฟซาล พระราชโอรสองค์ที่ 6 ในกษัตริย์ซาอุฯ ผู้ว่าการนครเมกกะ ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนหาสาเหตุโดยเร็ว แม้ในช่วงเกิดเหตุมีกระแสลมกระโชกแรงและฝนที่ตกลงอย่างหนักจากพายุเข้าจนทำให้ต้นไม้หักโค่น และเขย่าเครนยักษ์ที่ต้านแรงไว้ไม่อยู่ ขณะก่อสร้างขยายพื้นที่มัสยิด 400,000 ตร.ม. หวังรองรับผู้จาริกแสวงบุญจากทั่วโลกให้ได้มากถึง 2.2 ล้านคน

ทั้งนี้ เจ้าชายคาลิด อัล-ไฟซาล ยังรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทำหน้าที่ดูแลผู้บาดเจ็บทั้งหมดอย่างเต็มที่ ก่อนเสด็จมาสำรวจพื้นที่ดูความเสียหาย สำหรับการก่อสร้างขยายพื้นที่มัสยิดครั้งนี้ดำเนินโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ ซาอุดิ บินลาดิน กรุ๊ป ซึ่งเป็นของครอบครัวตระกูลบิน ลาดิน ที่สนิทสนมใกล้ชิดมานานกับราชวงศ์อัล-ซาอุด ผู้ปกครองซาอุฯ และคอยดูแลรับผิดชอบโครงการสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆทั่วประเทศ

ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2549 เกิดเหตุเหยียบกันตายที่เมืองมินา ทำให้ผู้แสวงบุญเสียชีวิตกว่า 360 คน และเมื่อ 2 ปีก่อนนี้ก็มีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุเดียวกัน 244 คน แต่ครั้งที่ถือว่ามีความสูญเสียมากที่สุดเมื่อปี 2533 มีผู้เสียชีวิตภายในอุโมงค์ทางเดิน ซึ่งมุ่งไปสู่นครเมกกะถึง 1,426 คน ทำให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบียทุ่มงบประมาณหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯสร้างระบบสาธารณูปโภค รวมถึงเส้นทางรถไฟเชื่อมตามเมืองสำคัญ เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายในการเดินทาง

วันเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศไทยได้ออกเอกสารข่าวชี้แจงกรณีเหตุเครนขนาดใหญ่ถูกลมพายุพัดและตกมาทับผู้แสวงบุญ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ณ นครเมกกะ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เมื่อค่ำวันที่ 11 ก.ย.ว่ากระทรวงการต่างประเทศได้ตรวจสอบกับสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ ได้รับรายงานว่าไม่มีคนไทยเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่มีผู้แสวงบุญชาวไทย 2 รายได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้อยู่ในการดูแลของแพทย์แล้ว

ด้านนายอรุณ บุญชม หัวหน้าสำนักงานกิจการฮัจญ์แห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า จากอุบัติเหตุเครนก่อสร้างล้มในบริเวณมัสยิดอัลหะรอม สำนักงานกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยได้จัดตั้งกองอำนวยการเฉพาะกิจติดตามข้อมูลข่าวสารเครนถล่ม เพื่อประมวลข้อมูลข่าวสารให้เป็นปัจจุบัน พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ออกติดตามผู้ประสบภัยในโรงพยาบาลทุกแห่งในเมืองเมกกะ ได้รับข้อมูลอย่างเป็นทางการว่ามีผู้เสียชีวิต 107 ราย ยังไม่ทราบสัญชาติ บาดเจ็บ 238 ราย ในจำนวนผู้เสียชีวิตยังไม่ปรากฏมีผู้แสวงบุญชาวไทยรวมอยู่ด้วย สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บนั้นมีคนไทย 2 ราย คือ นางแมะเยาะ แตมอ อายุ 47 ปี จากจังหวัดปัตตานี และนายสะมะแอ ชาชู อายุ 48 ปี จากจังหวัดยะลา ทั้งคู่รับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลคิงไฟซอล และได้นำตัวมายังหน่วยแพทย์และพยาบาลไทยเพื่อเฝ้าดูอาการต่อไป โดยยังไม่ได้รับรายงานจากหน่วยงานใดของซาอุดีอาระเบียว่ามีผู้แสวงบุญชาวไทยเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่เพื่อความไม่ประมาท จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ออกติดตามตรวจสอบข้อมูลอย่างต่อเนื่องต่อไป

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนางนะรี คงบันนึก นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ รักษาการ ผอ.กองกิจการฮัจญ์ ศอ.บต หลังเดินทางมายังบ้านของนางแมะเยาะ แตมอ ที่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี หนึ่งในคนไทยที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุเครนล้มทับผู้แสวงบุญที่แกรนด์มัสยิด ว่ามาแจ้งข้อมูลความเป็นอยู่กับทางครอบครัวของนางแมะเยาะ ว่านางแมะเยาะได้รับบาดเจ็บที่บริเวณดวงตาจนบวม และได้เข้าไปรักษาตัวยังโรงพยาบาลเมกกะ จนดีขึ้น ขณะนี้ออกมาพักฟื้นที่ศูนย์แพทย์ไทย ณ นครเมกกะ ปลอดภัยแล้ว ซึ่งทำให้ครอบครัวและญาติที่รอฟังข่าวรู้สึกอุ่นใจเมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางมาแจ้งด้วยตนเอง

Credit : http://www.thairath.co.th/

About admin

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *